คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 122

สรุปบท บทที่ 122 ไม่อาจกลั่นน้ำตา: คู่แฝดคู่ป่วน

บทที่ 122 ไม่อาจกลั่นน้ำตา – ตอนที่ต้องอ่านของ คู่แฝดคู่ป่วน

ตอนนี้ของ คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 122 ไม่อาจกลั่นน้ำตา จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เย่วซินหยุดเป่าขลุ่ยเนื่องจากเป่าต่อเนื่องมานานย่อมหมดแรงเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอเสียงเพลงจากขลุ่ยสยบมารหยุดลงไม่นาน พวกเหล่าคนคลั่งก็เริ่มขยับร่างกายอีกครั้ง

                                                                                 

“ไอ้หัวขวดเอ๊ย...” เย่วซินสบถด้วยความหัวเสียนี่ตนไม่ต้องเป่าจนคอขึ้นเลยหรือ แล้วหันไปเอ่ยกับพี่ชายหน้านิ่งที่อยู่ไม่ไกล “พี่เย่วเทียนข้าเป่าต่อไม่ไหวแล้ว” ถึงแม้จะเอ่ยเช่นนั้นเย่วซินก็ยังยกขลุ่ยในมือขึ้นเป่าต่อ เพราะไม่เช่นนั้นพวกเหล่าคนคลั่งก็จะกลับมาคุ้มคลั่งอีกครั้ง

เย่วเทียนหันไปมองร่างเล็กเห็นว่านางมีเหงื่อไหลซึมออกมาไม่น้อยนางคงใช้พลังไปมากจนเกินตัวจึงเร่งมือต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

เจิ้งอู่เสียงอาศัยช่วงที่สองบุรุษกำลังต่อสู้กับคนของตนอย่างตรึงมือ จึงสบโอกาสเหมาะที่จะเข้าไปจัดการกับสตรีร้ายกาจที่ยืนบรรเลงเพลงขลุ่ย เจิ้งอู่เสียงพลิ้วตัวด้วยความรวดเร็วกระบี่ในมือเงื้อขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ยังร่างเล็กทันที

เย่วซินดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเพราะจู่ ๆ ก็มีกระบี่พุ่งเข้ามาใกล้อย่างไม่ทันตั้งตัว มันรวดเร็วจนร่างเล็กขยับกายหนีไม่ทัน เย่วเทียนและไท่เหว่ยหัวใจกระตุกวูบรีบผละมือจากกลุ่มคนที่กำลังปะทะ พุ่งเข้าหาร่างเล็กเพื่อหวังจะรับคมกระบี่นั้นแทนอย่างไม่หวั่นเกรงชีวิตของพวกตน

สองร่างบุรุษต่างพุ่งเข้าหาร่างเล็กแต่ดูเหมือนว่าจะช้าเกินไปเสียแล้ว เย่วซินถูกคมกระบี่พุ่งเข้าใส่ร่างช่วงกลางท้อง เลือดสีแดงสดหลั่งไหลออกมาพรั่งพรูอย่างไม่อาจห้าม เจิ้งอู่เสียงยังมองสายตาของร่างเล็กที่จ้องมองเขาด้วยสายตาเหี้ยมโหดผิดแผกไปจากเดิม ดวงตาของเขาแดงกล่ำและมีหยดน้ำสีใสเอ่อใหลออกมา

เย่วซินเห็นเช่นนั้นก็พลันหัวใจกระตุกวูบ บุรุษตรงหน้าเขาไม่ได้อยากทำร้ายนางแต่เขาโดนบังคับอย่างแน่นอน

เย่วเทียนกระโดดถีบร่างสูงใหญ่ของเจิ้งอู่เสียงล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็ตามติดไปจัดการต่ออย่างบ้าคลั่งคล้ายคนขาดสติ เจิ้งอู่เสียงเองก็ยังไม่อาจตั้งตัวเอาไว้ได้ทันโดนคมกระบี่ของอีกฝ่ายฟาดลงมายังร่างกายจนเลือดไหลซึมออกมา

จ้าวไท่เหว่ยรีบเข้าพยุงร่างเล็กที่ยามนี้ยังมีกระบี่ปักคาร่างเอาไว้ ดวงตาคมแดงกล่ำด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถปกป้องคนที่เขารักเอาไว้ได้ เขามันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ๆ

“ซินเอ๋อร์เจ้าอดทนหน่อยข้าจะดึงกระบี่ออกจากตัวเจ้า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก เย่วซินพยักหน้ารับยามนี้นางช่างไร้เรี่ยวแรงยิ่งนัก มือใหญ่ดึงกระบี่ออกจากร่างเล็กทำให้เลือดของนางหลั่งใหลออกมาเพิ่มขึ้นอีก หนำซ้ำยังกระอักเลือดออกมาคำโต

“พี่เย่วเทียนอย่าฆ่าเขานะเจ้าคะ เขาโดนยาสั่งให้ทำเช่นนี้เขาไม่ได้อยากทำร้ายพวกเรา” เย่วซินเพิ่งเคยเห็นพี่ชายหน้านิ่งเกรี้ยวกราดขนาดนี้ เย่วเทียนหูของเขาได้ยินชัดเจนแต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจทำใจให้เย็นลงได้ เขาไม่ทำให้ถึงตายก็ได้แต่ของระบายหน่อยเถิด

เมื่อเสียงขลุ่ยหยุดลงเหล่าคนคลังก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เหล่าคนคุ้มกันทั้งสี่ตีล้อมผู้เป็นนายเอาไว้ คอยคุ้มกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามาใกล้ผู้เป็นนาย

“ท่านแม่!...” เสียงเล็กของอาเฟยเอ่ยขึ้นพร้อมปรากฏตัวออกมา ที่มันไม่รับรู้เหตุการณ์ภายนอกนั้นเป็นเพราะต้องปิดสัมผัสบ่มเพาะพลังหลังจากที่กินสมุนไพรปราณเข้าไปเยอะ ที่มันตื่นจากการบ่มเพาะนั้นเป็นเพราะว่าได้กลิ่นเลือดของมารดาที่หอมฟุ้งจนมันไม่อาจนั่งบ่มเพาะต่อไปได้ เมื่อลืมตาก็พบว่ามารดาของมันบาดเจ็บจนเลือดใหลออกมาท่วมตัวแล้ว

“อาเฟยเจ้าพาพวกเราหนีออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามอาเฟย มันเคยพาพวกเขาบินขึ้นไปเก็บสมุนไพร แต่ตอนนั้นพวกเขามีเพียงสามคนแต่ตอนนี้มีถึงเจ็ดคนเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันจะสามารถพาบินไปได้หรือไม่

“ไม่มีปัญหาขอรับท่านพ่อขึ้นมาบนหลังของข้าให้หมดเลย” เอ่ยจบอาเฟยก็ขยายร่างกายของมันให้ใหญ่โตขึ้นมากกว่าคราก่อนนี้ ที่ร่างกายของมันขยายได้ใหญ่โตเช่นนี้เป็นเพราะว่าสมุนไพรปราณที่กินเข้าไปนั่นเอง

“นั่นมันตัวอะไรกัน!” เสียงของเจิ้งจื่อยิ่นสบถออกมาพร้อมกับมองเจ้าตัวประหลาดตรงหน้าด้วยความตกใจ

“ขึ้นมาบนหลังอาเฟย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยสั่งเสียงดังให้คนของตนได้ยินถ้วนทั่ว จากนั้นก็อุ้มร่างเล็กที่ร่างกายโชกชุ่มไปด้วยเลือดขึ้นไปบนหลังอาเฟย เย่วเทียนและคนอื่น ๆ หาจังหวะพากายขึ้นมาบนหลังอาเฟยได้สำเร็จ

อาเฟยเมื่อคนของบิดาขึ้นมาบนหลังจนครบจำนวนมันก็เริ่มขยับปีก ลมจากปีกของมันรุนแรงจนเศษดินและเศษใบหน้ากระจายฟุ้ง ต้นไม้ขนาดเล็กถึงกับหักโค่นไปตามแรงลม ร่างของอาเฟยลอยตัวขึ้นเหนือพื้นดิน มันสบโอกาสเหมาะหันหน้ามาทางกลุ่มของศัตรูที่ทำร้ายมารดา มันอ้าปากพ่นไปออกไปยังกลุ่มเบื้องล่างทันที

เจิ้งจื่นยิ่น เจิ้งอู่เสียงและคนติดตามที่เหลือต่างพลิ้วกายหลบหลีกกันแทบไม่ทัน ต่างล้มลงอย่างไม่เป็นท่า ส่วนพวกกลุ่มคนคลั่งที่โดนไฟของสัตว์อสูรร่างกายถึงกับไหม้เกรียมกลายเป็นผุยผง ไม่มีโอกาสได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก

“ไฟของอาเฟยสามารถกำจัดคนคลั่งได้!” เสียงของจ้าวไท่เหว่ยเอ่ย เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่าง แต่มือของตนยังโอบกอดร่างเล็กเอาไว้ไม่ยอมห่างกาย

อาเฟยพาทุกคนบินสูงอยู่เหนือพื้นดินด้วยจิตใจที่หดหู่ด้วยรับรู้ว่ามารดายามนี้ลมหายใจเริ่มเบาบางเต็มทน ในเองก็ช่างไร้ค่ายิ่งนัก...

ภายในถ้ำที่มีสองร่างถูกตรึงด้วยแสงสีรุ้งจนทั่วทั้งร่างกายและใบหน้า ตอนนี้ทั้งสองต่างไม่ได้สติด้วยกันทั้งคู่ จิวอิงนั้นร่างกายภายนอกของนางจะได้รับผลกระทบไปด้วยเมื่ออีกฝ่ายเกิดบาดแผล นั่นก็หมายความว่าจิวอิงก็มีบาดแผลที่ถูกกระบี่แทงเข้าที่หน้าท้องเช่นเดียวกัน

เลือดสีแดงสดไหลรินออกมาจากร่างบางอย่างน่าหวาดหวั่น มันค่อย ๆ ไหลซึมผ่านเส้นใยสีรุ้งเพียงชั่วครู่ พลันเกิดแสงอันเจิดจ้าส่องประกายมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แสงอันเจิดจ้านั้นมันโอบล้อมสองร่างเอาไว้อยู่ราว ๆ สองเค่อก็ค่อย ๆ จางหายไป

แสงสีรุ้งอันเจิดจ้านั้นมันคล้ายกำลังแทรกซึมเข้าไปยังร่างกายทั้งสองร่างที่ยังถูกตรึงอยู้ข้างผนังถ้ำ มันค่อย ๆ เลือนหายไปช้า ๆ จนหมดสิ้น ทั้งสองร่างร่วงหล่นลงยังพื้นดินด้านล่าง แรงจากการกระแทกนั้นทำให้ทั้งสองสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา

หยางหลงเมื่อรู้สึกตัวก็มองหาร่างของสตรีอันเป็นที่รักทันที พลันต้องตกใจเมื่อเห็นว่าอาภรณ์ที่นางสวมใส่ยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด ต้องมีบาดแผลลึกเพียงใดถึงได้มีเลือดออกมามากมายเช่นนี้กัน

“อิงเอ๋อร์เจ้าบาดเจ็บเช่นนั้นหรือ? เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หยางหลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน พลางเอื้อมมือใหญ่ช่วยพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเบามือ

“พี่หยางหลง ข้าเป็นอันใดไปเหตุใดถึงได้มีเลือดออกมามากมายเช่นนี้กัน” จิวอิงเอ่ยถามกลับไปเพราะนางเองก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น นางไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดเดียวหรือว่า เมื่อคิดขึ้นได้จึงรีบเอ่ย

“หรือว่าจะเป็นซินเอ๋อร์เจ้าคะที่ได้รับบาดเจ็บ นางเป็นอันใดกันข้าเป็นห่วงนางยิ่งนัก” จิวอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หัวใจของนางปวดหนึบไปหมดเมื่อคิดว่าน้องสาวของนางต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน เพราะเลือดของนางเองนั้นก็ไหลย้อมจนอาภรณ์ที่สวมใส่ยามนี้แทบไม่เหลือเค้าเดิม

“ใจเย็น ๆ ลงก่อนอิงเอ๋อร์ นางคงไม่เป็นอันใดมากหรอกไม่เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้สึกเจ็บไปด้วยแล้ว” หยางหลงเอ่ยปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

จิวอิงเมื่อได้ยินอีกฝ่ายหนึ่งอื่นก็ได้สติ นางรีบก้มมองดูสำรวจร่างกายทันที เมื่อเล็กลูบคลำไปทั่วร่างกายโดยเฉพาะตรงจุดที่มีเลือดไหลออกมามาก แต่กระนั้นนางก็ไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลยสักนิดเดียว ปกติแล้วถ้ามีบาดแผลที่ไม่ได้เกิดกับตัวของนางเองก็จะมีอาการเจ็บอยู่บ้างแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จิวอิงรู้สึกแปลกใจจึงลองลุกขึ้นยืนเพื่อสำรวจใหม่อีกรอบ...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน