“เจ้าไม่ใช่คนไม่ดี ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกเจ้าอย่ากังวลไปเลย” เย่วฉีเอ่ยพลางยกมือลูบศีรษะเล็กอย่างเบามือ เมื่อได้ยินเรื่องราวความรักของนางและบุรุษอีกสองคน แม้มันจะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูแล้วไม่ว่าใครได้ใกล้ชิดกับน้องสาวผู้นี้ของเขาย่อมต้องรักใคร่นางไม่ยาก เพราะนางน่ารักและสดใส
“ไม่มีใครคิดแต่ข้าคิด” เย่วซินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะก้มหน้าก้มตาอยู่กับหมอนใบนุ่ม
“แล้วเจ้ามัวมานอนร้องไห้เช่นนี้มันจะดีขึ้นหรืออย่างไรกัน” เย่วฉีเอ่ยบอก
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรหรือ?” เย่วซินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไปเดินเล่นที่ไร่องุ่นกัน ที่นั่นอาจทำให้เจ้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้” เย่วฉีเอ่ยบอก เขาต้องการให้นางออกไปสูดอากาศด้านนอกเพื่อที่จิตใจจะได้แจ่มใสเบิกบานขึ้น
เย่วซินไม่คิดจะเอ่ยขัดเพราะเห็นแก่พี่ชายคนสนิทที่พยายามจะปลอบใจนาง ทั้งสองเดินออกมาจากห้องและตรงไปยังไร่องุ่นทางด้านหลังของพรรคอินทรีย์
ทางด้านจ้าวไท่เฟยเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่เดินไปทางด้านหลังของพรรคก็รีบเดินเข้าไปในห้องของพี่ชายทันที ตอนนี้สภาพของพี่ชายนางคล้ายไม่มีชีวิตจิตใจ ดูเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ไปหมดช่างไม่เหมือนประมุขจ้าวที่เคยแข็งแกร่งเลยจริง ๆ ความรักมันทำให้คนตายได้หากคนผู้นั้นเข้มแข็งพอ อย่างพี่ชายของนางที่เคยเข้มแข็งก็เรียกได้ว่าอาการหนักพอตัว
ความรักมันช่างน่ากลัวเสียจริง แล้วผู้ใดกันที่บอกว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามและทำให้เรามีความสุขกัน นางจะไม่ขอมีความรักเด็ดขาดหากต้องกลายสภาพมาเป็นแบบพี่ชายผู้นี้
“พี่ใหญ่ที่ไร่เกิดเรื่องแล้ว” จ้าวไท่เฟยเอ่ยโกหกคำโต เพราะรู้ว่าหากชวนเขาออกไปด้านนอกพี่ชายคนนี้คงไม่มีวันออกไปเป็นแน่
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามน้องสาว ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ดูอิดโรยขอบตาก็หมองคล้ำดูช่างเวทนายิ่งนัก
“ท่านไปดูเองเถิดเจ้าค่ะ ไปเร็ว ๆ เข้า” จ้าวไท่เฟยไม่เอ่ยตอบแต่เร่งเร้าให้พี่ชายลุกขึ้นและรีบดันแผ่นหลังกว้างให้ออกนอกประตูห้องไป จ้าวไท่เหว่ยยอมเดินออกมาตามแรงดันอันน้อยนิดของน้องสาว แล้วรีบเดินตรงไปยังด้านหลังพรรคที่เป็นไร่องุ่นทันที
จ้าวไท่เฟยเดินตามหลังผู้เป็นพี่ชายมาติด ๆ เมื่อเห็นเป้าหมายยืนอยู่เบื้องหน้านางก็รีบดันร่างพี่ชายให้ก้าวเดินเมื่อเห็นว่าเขาชะงักเท้าไปเล็กน้อย พรุ่งนี้เย่วซินและเหล่าคณะทุกคนจะออกเดินทางกลับบ้านกลับเมืองของเขาแล้ว หากพี่ชายของนางมัวแต่เสียใจเมามายอยู่แต่ภายในห้องคงไม่ได้มีโอกาสพบหน้ากันอีกเป็นแน่ นางจึงอยากให้พี่ชายได้พูดคุยกับเย่วซินอีกสักครั้งเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
เมื่อเดินเข้ามาใกล้จ้าวไท่เฟยก็รีบเดินย่องไปสะกิดหลังของบุรุษอีกคนที่ยืนหันหลัง เมื่อเขาหันมานางก็ทำสัญญาณให้เขาไม่ส่งเสียง จากนั้นก็จูงมืออีกฝ่ายเดินออกไปจากที่ตรงนี้ทันที โดยไม่ให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอันใด เย่วฉีเองก็รู้ความเพราะเขาเองก็อยากให้ทั้งสองคนพูดคุยกันก่อนที่จะแยกย้ายกันไปในวันพรุ่งนี้ จึงยอมเดินตามร่างบางของจ้าวไท่เฟยมาแต่โดยดี
เย่วซินยืนหันหลังมองดูทิวเขาที่ไล่เรียงสูงต่ำอย่างสวยงามเบื้องหน้า และผลองุ่นที่ออกผลห้อยระย้าน่าชวนให้น่าเด็ดกิน จนไม่ทันได้สังเกตถึงเบื้องหลังว่ามีผู้ใดมาเยือน เย่วซินยังคิดว่าบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนนั้นคือพี่ชายคนสนิท ระหว่างที่ดวงตากลมโตสวยกวาดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ปากอิ่มก็อดที่จะเอ่ยระบายความในใจให้พี่ชายคนสนิทไม่ได้ เพราะพี่ชายคนนี้คือคนที่รักและเข้าใจเธอมากที่สุด
“อาฉีท่านว่าข้าทำถูกหรือไม่ที่เอ่ยบอกพี่เย่วเทียนไปเช่นนั้น ข้าไม่ได้โกรธเขาแต่ข้าระอายใจเพราะหัวใจของข้าไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว แต่อีกครึ่งหนึ่งของหัวใจข้ามีประมุขจ้าวอยู่อีกคน ข้ามันช่างน่ารังกียจมากเลยใช่หรือไม่ ท่านไม่ต้องตอบข้าก็ได้เพราะข้าเองก็รู้อยู่แก่ใจดีถึงท่านจะบอกว่าข้าไม่ผิดข้าไม่ใช่คนเลว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาได้แม้แต่นิดเดียวเลย” เย่วซินเอ่ยความในใจของตนออกมาเพราะคิดว่าบุคคลที่อยู่ด้านหลังนั้นคือพี่ชาย
จ้าวไท่เหว่ยที่ได้ยินร่างเล็กเบื้องหน้าเอ่ยว่าหัวใจของนางอีกครึ่งเป็นของตนก็พลันให้หัวใจพองโตขึ้นมาทันที มันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอกด้านซ้าย จากตอนแรกที่มันห่อเหี่ยวเต้นเอื่อยเฉื่อยคล้ายกำลังจะขาดใจ สองเท้าใหญ่เดินเข้าไปใกล้ร่างเล็กเบื้องหน้า วงแขนแกร่งทั้งสองข้างยกไปด้านหน้าเพื่อโอบกอดร่างเล็ก เขาอยากขอบคุณที่นางยังมีเขาอยู่ในหัวใจ
“อาฉีท่านกอดข้าทำไม...ท่าน” เย่วซินเมื่อโดนท่อนแขนกำยำรัดร่างของตัวเองเอาไว้แน่น ก็คิดว่าเป็นพี่ชายคนสนิทจึงเอ่ยถามพร้อมกับหันหลังไปมอง แต่ภาพเบื้องหน้ากลับไม่ใช่พี่ชายคนสนิท แต่เป็นประมุขจ้าวซึ่งยามนี้ใบหน้าของเขาอยู่ชิดใกล้กับใบหน้าของตนเป็นอย่างมาก เย่วซินตกใจจนหน้าซีดเซียวเพราะไม่คิดว่าบุคคลที่เธอเอ่ยพาดพิงเมื่อครู่จะมายืนอยู่ตรงนี้
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่ารักข้า ข้าขอบใจเจ้ามากหลายวันมานี้ข้ารู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะตาย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงอ่อนนุ่มคล้ายออดอ้อน พลางกระชับวงแขนแกร่งของตนให้แน่นขึ้นเพื่อไม่ให้ร่างเล็กที่ดิ้นไปมาได้หลุดรอดออกไปจากอ้อมกอดของตนได้
“ท่านมาแอบฟังข้าเช่นนั้นหรือ?” เย่วซินเอ่ยถามใบหน้างามแดงกล่ำเพราะความเขินอายกับคำที่ตนเองเพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อครู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...