คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 129

สรุปบท บทที่ 129 ความเจ็บปวดที่ต้องยอมรับ: คู่แฝดคู่ป่วน

สรุปเนื้อหา บทที่ 129 ความเจ็บปวดที่ต้องยอมรับ – คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน

บท บทที่ 129 ความเจ็บปวดที่ต้องยอมรับ ของ คู่แฝดคู่ป่วน ในหมวดนิยายโรแมนซ์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ไป๋หลัน อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

อาเฟยพาทุกคนบินมายังชายป่าใกล้กับเขตเมืองแคว้นหนิงแล้วบินลงสู่เบื้องล่างเพื่อให้ทุกคนได้เดินทางกันต่อ หากให้อาเฟยพาบินกลับเข้าเมืองผู้คนจะแตกตื่นตกใจกลัวกันได้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสัตว์อสูรเท่าไรนัก เช่นเดียวกันกับสัตว์อสูรพวกมันก็ไม่เข้ามาวุ่นวายในเขตเมืองที่มีมนุษย์วุ่นวายเช่นกัน อีกอย่างสัตว์อสูรย์มีพลังที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อยู่มากโขจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สัตว์อสูรพ่ายแพ้และยอมทำพันธสัญญาเป็นทาสของมนุษย์ได้

หลังจากที่ส่งทุกคนลงสู่เบื้องล่างเรียบร้อยอาเฟยก็กลับเข้าไปยังมิติจิตของเย่วเทียนบิดาของมันต่อเพื่อบ่มเพาะกายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะมารดาของมันให้มันกินสมุนไพรพิษที่เก็บมาจากป่าหมอกมายาเป็นรางวัลที่พาทุกคนเดินทางกลับมายังแคว้นหนิงได้อย่างปลอดภัย

 เหล่าคณะเดินทางได้เมื่อมาถึงชายป่าก็มีรถม้าและม้าชั้นดีอีกหลายตัวเตรียมรอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากก่อนเดินทางหนึ่งวันองค์รัชทายาทหยางหลงให้หยวนเค่อล่วงหน้ามาจัดการทั้งหมดเอาไว้ และหยวนเค่อก็ไม่ทำให้ผิดหวังเขาจัดเตรียมทุกอย่างไว้อย่างพร้อมเพรียง

ทั้งหมดเดินทางกันต่ออีกหนึ่งชั่วยามก็เข้าสู่ประตูเมืองหลวงและผ่านประตูมาได้อย่างง่ายดายเพราะตราสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาทที่เป็นใบเบิกทางความสะดวกในครั้งนี้

หน้าจวนตระกูลหมิงขบวนรถม้ามาถึงและเป็นที่จับจ้องของเหล่าประชานชนกันอย่างมากโดยเฉพาะสตรีเพราะในขบวนนั้นมีเหล่าบุรุษงดงามควบขี่ม้านำหน้ารถม้าอยู่หลายคนและทุกคนล้วนแต่มีรูปร่างหล่อเหลาไม่แพ้กันและอีกอย่างฐานะของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาอีกด้วย เหล่าสตรีถึงกับโปรยผ้าเช็ดหน้ากันตลอดเส้นทางตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้าเมืองมาแล้ว

หมิงอวี้หลางและภรรยาอยู่รอต้อนรับเพราะรับรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าทั้งหมดกำลังเดินทางมาถึง ทั้งหมดกล่าวทักทายกันและเชื้อเชิญกันเข้าไปยังด้านในจวน บ่าวไพร่จัดเตรียมของว่างเอาไว้พร้อมสรรพอย่างสวยงาม เพราะผู้มาเยือนคนใหม่เป็นถึงอดีตองคืรัชทายาทแห่งแคว้นหาน ถึงแม้จะเป็นเพียงอดีตแต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์และสายเลือดเชื้อพระวงศ์อย่างไรมันก็ไม่มีวันจางหายไปจากตัวตนได้

“พวกท่านไม่ต้องมีพิธีอะไรกับข้าหรอกพูดกับข้าแบบสามัญชนก็พอ” หานเสวี่ยถังเอ่ยบอกคู่สามีภรรยาด้านหน้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ทั้งสองคนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณของเขาที่ช่วยเลี้ยงดูและอบรมบุตรสาวของเขาเป็นอย่างดีจนเติบโตมาเป็นสตรีที่น่ารักเช่นนี้

“ถ้าท่านสะดวกเช่นนั้นก็ย่อมได้” อวี้หลางเอ่ยด้วยถ้อยคำที่ผ่อนคลายมากขึ้น

 “ทั้งหมดเดินทางมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าไปพักผ่อนกันเสียหน่อยดีกว่าข้าจะเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ให้หากเสร็จเรียบร้อยจะให้บ่าวไปตามที่เรือน” จูเซียนเอ่ยบอกทุกคนที่อยู่ในโถง บุคคลที่อยู่ในโถงนั้นมี่เพียงคนในครอบครัวเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ได้แยกย้ายกลับวังและจับจวนของตนเองกันไปหมดแล้วตั้งแต่ทักทายกันด้านหน้าประตูจวน

“เช่นนั้นก็ได้ ซินเอ๋อร์เจ้าพาบิดาของเจ้าไปยังเรือนรับรองหลังใหญ่ถัดจากเรือนของเจ้าก็แล้วกัน” ฮุ่ยฉินเอ่ยพลางหันไปบอกหลานสาวคนโปรดของตน เรือนรับรองหลังใหญ่ที่ว่านั้นอยู่ไม่ห่างจากสวนดอกไม้ของหลานสาวเท่าใดนัก เรือนหลังนี้ค่อนข้างใหญ่โตและมีความสงบเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าหากคุณชายเสวี่ยถังได้พักที่เรือนนี้คงจะรู้สึกผ่อนคลายและไม่อึดอัดใจเท่าใดนัก

“เจ้าค่ะท่านปู่” เย่วซินเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส

“หลานจะไปช่วยท่านแม่เตรียมอาหารเจ้าค่ะ” จิวอิงเอ่ยบอกผู้อาวุโสของบ้าน

“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?” ฮุ่ยฉินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“หลานไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ สงสัยเป็นเพราะใยสีรุ้งในตัวของหลานก็เป็นได้” จิวอิงเอ่ยบอก

“ใยสีรุ้งอันใดหรือ?” อวี้หลางเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินบุตรสาวบุญธรรมเอ่ยถึงใยสีรุ้งที่อยู่ในตัวของนาง เขาเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้

“ใยของหนอนไหมสีรุ้งที่สามารถรักษาร่างกายทั้งภายนอกและภายในโดยไม่ต้องพึ่งยาอย่างไรเล่า อิงเอ๋อร์และองค์รัชทายาทมีบุญวาสนายิ่งนักที่ได้พบมันเข้า” ฮุ่ยฉินเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนสงสัย

“ขอรับท่านพ่อ” เย่วฉีและเย่วเทียนเอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนยังเรือนพักส่วนตัวของแต่ละคน ยกเว้นจิวอิงที่ไปช่วยมารดาบุญธรรมทำอาหารเย็นในครัว ส่วนเย่วซินพาบิดามายังเรือนพักรับรองหลังใหญ่แต่ในระหว่างทางเดิน นางได้พาบิดามายังที่สวนดอกไม้เพื่อทักทายมารดาเสียก่อน

ภายในสวนดอกไม้มีดอกมะลิสีขาวออกดอกสะพรั่งทั้งตูมและบานส่งกลิ่นหอมเย็นละมุนชวนให้ชื่นจิต ส่วยดอกเหมยกุ้ยสีแดงนั้นก็ออกดอดชูช่อสะพรั่งไม่แพ้กันดูงดงามตายิ่งนัก ตรงกลางสวนดอกไม้มีเนินดินและป้ายชื่อของผู้เป็นมารดาปักเอาไว้

“ท่านพ่อท่านแม่อยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยพลางชี้มือไปยังเนินดินเบื้องหน้า หานเสวี่ยถังมองไปยังเนินดินพลางให้หัวใจกระตุกวูบ ความเสียใจเข้ามาเยือนอีกครั้งและเหมือนว่าครั้งนี้มันจะรุ่นแรงกว่าครั้งไหน ๆ เพราะเขามาอยู่ตรงหน้าคนรักที่จากกันไปแสนนานแต่ก็ไม่สามารถกอดหรือสัมผัสกันได้อีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกนี้มันช่างทรมานหัวใจยิ่งนัก

สองขาแกร่งคล้ายไม่มีกำลังวังชาเอาเสียดื้อ ๆ จึงเซถอยหลังไปสองสามก้าว เย่วซินเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปช่วยพยุงร่างของบิดาเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป

“ท่านพ่อไหวหรือไม่เจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยไม่ใช่เพียงแต่บิดาที่สะเทือนใจ ตนเองก็รับรู้ความรู้สึกของบิดาไม่ต่างกันแต่อย่างไรความจริงในเรื่องนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ คงมีแต่ต้องยอมรับความจริงและทำใจให้เข้มแข็งเผชิญหน้ากับมันให้ได้ ถึงแม้มันจะเจ็บปวดใจมากก็ตามที

หานเสวี่ยถังเมื่อได้ยินเสียงของบุตรสาวเอ่ยถามก็พลันมีสติขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อระงับอาการปวดหน่วงที่อกด้านซ้าย เขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องกังวลใจในเรื่องนี้อีก หากเขาไม่สามารถจัดการความรู้สึกของตนเองได้ ก็อาจจะล้มป่วยไปอย่างเมื่อคราวที่แล้วอีก หากครานี้ไม่โชคดีอย่างคราวที่แล้วเขาก็คงจะเสียใจมากที่จะไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลบุตรสาวทั้งสองคนอย่างที่เคยสัญญากับตนเองและคนรักเอาไว้

“พ่อดีขึ้นแล้วเจ้าไม่ต้องห่วงพ่อจะไปพูดคุยกับมารดาของเจ้าสักหน่อยพวกเราไม่เจอกันมานานแล้ว” หานเสวี่ยถังเอ่ยบอกบุตรสาว เย่วซินไม่ใช่คนโง่ย่อมเข้าใจในสิ่งที่บิดาเอ่ย บิดาของตนต้องการพูดคุยกับมารดาเพียงลำพัง เย่วซินพยังหน้ารับคำแล้วปล่อยแขนของบิดาที่ตนเองจับพยุงอยู่

หานเสวี่ยถังก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปยังเนินดินเบื้องหน้า สายตาทั้งสองแดงกล่ำพร้อมจับจ้องเนินดินนั้นไม่วางตา เมื่อเดินมาถึงขาทั้งสองข้าก็คล้ายหมดแรงไปเสียดื้อ ๆ เข่าทั้งสองข้างทรุดลงตรงหน้าป้ายชื่อที่เขียนอักษรสวยงามนามของผู้ตายเอาไว้...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน