คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 132

ทางด้านพรรคอสรพิษหลังจากที่ทำการรักษาถอนพิษงูทมิฬมาได้สามวันหานเฟิ่งฮวาก็เริ่มที่จะรู้สึกตัวขึ้นมา จนทำให้มารดาและผู้เป็นตาที่คอยเฝ้าดูอาการต่างมีรอยยิ้มและผ่อนคลายความกังวลขึ้นมา

                                                                                                     

หลังจากที่หลานสาวฟื้นเจิ้งจื่อยิ่นประมุขพรรคอสรพิษก็เริ่มที่จะวางแผนการในการขึ้นเป็นพรรคที่เก่งกาจที่สุดเหนือผู้คนทันที เพราะขืนชักช้ามากไปกว่าจะเป็นการให้ศัตรูตั้งตัวได้ทัน ตนจะต้องวางแผนการในครั้งนี้ให้รอบคอบมากกว่าเดิมด้วยเพราะเจ้าสัตว์อสูรตัวร้ายที่มันสามารถทำลายคนคลั่งของตนได้

แต่เรื่องนั้นตนก็คิดอย่างถ้วนถี่แล้วเจ้าสัตว์อสูรเพียงตัวเดียวมันจะสามารถปกป้องทุกคนได้อย่างไรกัน ไม่มีทางเสียหรอก...

เจิ้งจื่อยิ่นยกยิ้มให้กับตัวเองถึงแผนการที่ตนวางเอาไว้คร่าว ๆ ในหัวสมองอันเฉียบแหลมของตน และคิดว่าแผนการนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอนแต่มันก็ต้องเสี่ยงและใช้กำลังคนมากเสียหน่อย เรื่องกำลังคนนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตนเลยสักเดียวดังนั้นจึงสามารถดำเนินการตามแผนการรที่วางเอาไว้ได้ทันที

เมื่อคิดได้ดังนั้นเจิ้งจื่อยิ่นจึงรีบเดินไปยังห้องพักที่คุมขังหลานชายเอาไว้ แผนการครั้งนี้ตนจะต้องใช้กำลังของหลานชายผู้นี้อีกสักครั้งและมันก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเช่นกัน...

“เหตุใดจึงไม่ยอมกินข้าวอยากตายมากหรืออย่างไร” เมื่อเปิดประตูเข้ามายังภายในห้องก็เห็นว่าอาหารที่ให้ลูกพรรคยกมาให้ยังไม่พร่องลงไปสักนิดเดียว หลานชายผู้นี้ของตนนั้นดื้อด้านเสียจริงเชียว แต่ไม่เป็นไรตนมีโอสถขนานดีหลานชายผู้นี้ยังไม่ตายง่าย ๆ หรอกหากว่าตนยังไม่อนุญาติ

“ท่านต้องการสิ่งใดจากข้าอีก” เจิ้งอู่เสียงเอ่ยเสียงอันแหบแห้งออกมาด้วยความไม่พอใจ

“เจ้าต้องทำงานใหญ่ให้ข้าเสียก่อนข้าจึงจะปล่อยเจ้าไป”

“ข้าไม่ทำเด็ดขาด...” อู่เสียงเอ่ยปฏิเสธทันทีเพราะรู้ว่าบุรุษตรงหน้าต้องการให้ตนทำสิ่งใด

“ข้าเพียงแค่บอกกล่าวเจ้าไม่ได้ให้เจ้าออกความคิดเห็น”

“ท่านมัน...” อู่เสียงเค้นเสียงแต่ตนก็หมดคำที่จะกล่างเถียงเพราะถึงอย่างไรบุรุษตรงหน้าก็ไม่ยอมที่จะฟังอยู่แล้ว เขาเห็นตนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ยังมีประโยชน์แต่หากหมดประโยชน์เมื่อไรก็ต้องกำจัดทิ้ง และตนคิดว่าคงอีกไม่นานเป็นแน่

“เจ้าอย่าคิดต่อต้านข้าเลยถึงเจ้าทำไปมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก ร่างกายของเจ้ามันจะทรมานเอาเสียเปล่า ๆ”

“ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใด” อู่เสียงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“ข้าจะให้เจ้านำกลุ่มคนคลั่งไปที่แคว้นหนิงจากนั้นก็หาทางจับตัวหานเสวี่ยถังหรือบุตรสาวของมันมาให้ข้า ถ้าไม่ได้ตัวสามคนนี้เจ้าก็จับตัวคนในครอบครัวของมันมาเพื่อต่อรอง เรื่องแค่นี้คงไม่เกินฝีมือของเจ้าหรอกกระมัง” จื่อยิ่นเอ่ยบอกหลานชายถึงแผนการที่จะให้ไปจัดการ

อู่เสียงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันให้กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ ความโลภของคนมันไม่มีที่สิ้นสุดเสียจริง และตนก็หวังว่าสักวันจะมีผู้ที่สามารถจัดการกับตาเฒ่าโลภมากผู้นี้ได้สักที แต่สำหรับตนเองคงไม่มีโอกาสนั้นแล้วเพราะว่าตอนนี้ร่างกายมันย่ำแย่เกินไปและยังต้องตกอยู่ในอำนาจยาสั่งของบุรุษตรงหน้าอีก

“ท่านจะให้ข้าเริ่มลงมือเมื่อใด” อู่เสียงเอ่ยถาม

“อีกเจ็ดวัน...เจ้าเดินทางไปที่แคว้นหนิงและเริ่มลงมือได้ ส่วนข้าจะให้คนสนิทของข้าอีกคนนำกลุ่มคนคลั่งไปจัดการกับประมุขจ้าว เมื่อจัดการตามแผนเสร็จเรียบร้อยเจ้าก็เดินทางไปยังแคว้นหานได้ทันทีข้าจะรออยู่ที่นั่น” จื่อยิ่นเอ่ยบอก ตนต้องเดินทางไปยังแคว้นหานเพราะที่นั่นมีทั้งกำลังทหารมากมายและมีการป้องกันที่แน่นหนา อีกอย่างตนต้องพาบุตรสาวและหลานสาวกลับเมืองเสียทีเพราะพักอยู่ที่พรรคอสรพิษมานานมากแล้ว

“เจ้าก็กินข้าวกินปลาเสียข้าจะมาหาเจ้าอีกครั้ง” จื่อยิ่นเอ่ยพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาใกล้จากนั้นก็บีบปากของอีกฝ่ายให้อ้าออกแล้วป้อนยาบางอย่างเข้าไป เมื่อเห้นว่าอีกฝ่ายกลืนมันลงคอไปแล้วก้ยิ้มอย่างพอใจ แล้วก้าวเดินออกมาจากห้องพักทันที

จื่อยิ่นให้หลานชายหัวรั้นกินยาระงับพิษชั่วคราวและยาบำรุงร่างกายเพียงเท่านั้น เพราะเขาต้องไปทำงานใหญ่จึงจำป้นต้องมีร่างกายที่แข็งแรง แต่หลังจากนั้นหลานชายผู้นี้จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอันใดกับตนอีกต่อไปแล้ว

ทางด้านหุบเขาร้อยเล่ห์ ซ่งอวิ๋นผู้เป็นยายของประมุขผู้ยิ่งใหญ่เมื่อได้ยินว่าหลายชายพึงใจสตรีนางหนึ่งก็พลันให้กินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความที่อยากรู้ว่าสตรีนางนั้นมีรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอเป้นอย่างไร

ครั้นจะรอให้หลานชายเป็นฝ่ายพามาหานางคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะว่าสตรีผู้นั้นย่อมต้องเตรียมตัวมาอย่างดีและจะทำให้จับผิดยากลำบากมากขึ้น ซ่งอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ทั้งคืนยันเช้านี้ก็ยังไม่เลิกคิดว่าจะหาทางออกเช่นไรดี

ซ่งอวิ๋นเป็นบุตรีของชาวยุทธเรื่องความเก่งกาจนั้นนางย่อมมีฝีมือพอตัว แต่เมื่อแต่งงานมีบุตรและมีหลานก็เก็บพับเรื่องการฝึกฝนและหันมาสนใจงานบ้านงานเรือนแทน แต่ถึงจะห่างหายไปนานความสามารถที่มีนั้นมันไม่ได้ด้อยลงไปนัก แต่อาจจะมีกำลังที่ถดถอยลงไปบ้างเพราะวัยที่ล่วงเลยจนเข้าเลขหกแล้ว

“ท่านยายเป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านดูใบหน้าหมองคล้ำคล้ายไม่ได้นอนเลยทั้งคืน” ไท่เฟยเอ่ยถามผู้เป็นยายด้วยความสงสัย เพราะปกติท่านยายจะมีนิสัยที่ร่าเริงและปราดเปรียวถึงแม้เข้าวัยหกสิบแล้วก็ตาม แต่หากไม่เอ่ยถึงตัวเลขอายุก็คงไม่มีใครทราบว่าท่านอายุมากแล้วเพราะท่านยังมีร่างกายที่แข็งแรงและดูอ่อนเยาว์กว่าอายุมากนัก

“ยายนอนไม่หลับนะสิ คิดถึงเรื่องพี่ชายของเจ้า” ซ่งอวิ๋นเอ่ยบอกหลานสาวไปตามตรงโดยไม่คิดปิดบังด้วยเพราะสนิทสนมกันมาก

“ท่านยายไม่สบายใจเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ บอกหลานสาวผู้นี้มาได้เลยเจ้าค่ะหลานยินดีให้คำปรึกษาและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เลย” ไท่เฟยเอ่ยบอกผู้เป็นยายด้วยน้ำเสียงสดใส หากนางเดาไม่ผิดท่านยายต้องคิดเรื่องเย่วซินเป็นแน่ และด้วยคลุกคลีกันมานานนางย่อมล่วงรู้ความคิดของผู้เป็นยายว่าต้องการสิ่งใด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน