“เย่วซิน...” ไท่เฟยเอ่ยด้วยความตกใจ
“เจ้า...ไท่เฟย” จิวอิงจดจำใบหน้าสวยงามของไท่เฟยได้ ถึงแม้ยามนี้จะแต่งกายคล้ายบุรุษแต่ก็ไม่ได้กลบความงดงามของสตรีไปเลยแม้แต่นิดดียว
“เจ้าจำข้าได้” ไท่เฟยเอ่ยถาม
“ใบหน้างามเยี่ยงเจ้าเหตุใดข้าจะจำไม่ได้ แต่เจ้าต่างหากที่จำข้าไม่ได้” จิวอิงเอ่ยบอกแต่ประโยคหลังนางทำเสียงแง่งอนเล็กน้อยที่อีกฝ่ายจำกันไม่ได้
“เจ้าไม่ใช่เย่วซิน แต่เป็นจิวอิงใช่หรือไม่” ไท่เฟยเมื่อฟังน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนหวานก็จดจำได้ทันที หากเป็นเย่วซินรายนั้นจะพูดจาไม่อ่อนหวานเช่นนี้
“ใช่แล้ว...แล้วเจ้ามาทำอะไรที่แคว้นหนิงเหตุใดต้องปลอมตัวเป็นบุรุษด้วยหรือว่าเจ้าแอบหนีมาเที่ยวอีก คราก่อนยังไม่เข็ดอีกหรืออย่างไรกัน” จิวอิงเอ่ยร่ายยาวนางเห็นไท่เฟยเหมือนกับน้องสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งนิสัยค่อนข้างเหมือนกันยิ่งนักจึงลืมตัวอบรมไปเล็กน้อย
“โธ่...ข้ามีเหตุผลน่ะ แต่บอกเจ้าไม่ได้เอาเป็นว่าข้าชอบเมืองหลวงแคว้นหนิงยิ่งนักมีแต่ของสวยงามทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะอาภรณ์ที่ร้านของเจ้างดงามยิ่งนักข้ายังไม่เคยเห็นอาภรณ์ที่ใดสวยงามเท่าของเจ้ามาก่อนเลย” ไท่เฟยเอ่ยชื่นชมอาภรณ์ของอีกฝ่าย เพราะมันสวยงามมากจริง ๆ นางไม่ได้พูดเกินจริงไปแม้แต่น้อย
“ปากหวานยิ่งนัก เจ้าก็เลือกเอาชุดที่เจ้าชอบไปสักสองสามชุดถือเสียว่าข้ามอบของขวัญให้น้องสาวคนใหม่ อ้อ...เมื่อเลือกได้แล้วก็เปลี่ยนชุดใหม่เสียเลยเข้าใจหรือไม่” จิวอิงเอ่ยบอกอีกฝ่ายแกมบังคับเล็กน้อย
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สาวที่น่ารัก” ไท่เฟยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสดใสด้วยความดีใจที่อีกฝ่ายมีน้ำใจกับตนมากมายยิ่งนัก แม้ว่าเพิ่งจะรู้จักกันเพียงไม่นานเท่านั้น
ทางด้านของซ่งอวิ๋นที่เดินมาตามทางที่ชาวบ้านบอกก็เจอโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ตกแต่งสวยงาม การออกแบบสร้างก็ดูไม่ธรรมดาอีกด้วย ซ่งอวิ๋นที่แต่งตัวมอซอด้วยอาภรณ์ชุดเก่าแถมยังเป็นผ้าเนื้อหยาบแบบไม่มีราคาค่างวด นางต้องการลองใจว่าหากมีหญิงแก่แต่งตัวมอซอมายืนเกะกะหน้าโรงเตี๊ยมคนที่นี่จะทำเช่นไร
อันว่าการดูแลปกครองคนงานนั้นอยู่ที่ผู้เป็นนายอบรมหากคนงานมีมารยาทไม่ดูถูกคนนั่นย่อมหมายความว่าผู้เป็นนายอบรมมาเป็นอย่างดี บ่งบอกได้ถึงนิสัยของผู้เป็นนายอีกด้วย นี่เป็นด่านแรกในการทดสอบว่าที่หลานสะใภ้ของซ่งอวิ๋น
ตอนนี้ที่โรงเตี๊ยมมีคนไม่มากนักคงเพราะเวลาที่ล่วงเลยจนบ่ายแก่ ซ่งอวิ๋นจึงได้โอกาสเดินมายืนอยู่หน้าร้านด้วยท่าทางอิดออดคล้ายหญิงชราที่เดินเหินไม่คล่องตัวนัก นางชะเง้อคอมองเข้าไปยังด้านในโรงเตี๊ยมเห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังจัดโต๊ะเก้าอี้เช็ดทำความสะอาดด้วยความเพลิดเพลิน
เย่วซินหลังจากที่ทำเมนูอาหารส้มตำทอดเสร็จเรียบร้อยจึงเรียกให้คนงานทั้งหมดไปนั่งกินกันด้านในห้องครัว เพราะในห้องครัวของโรงเตี๊ยมนั้นค่อนข้างกว้างขวางเย่วซินจึงมีโต๊ะสำหรับให้คนงานสับเปลี่ยนกันมานั่งกินอาหารด้านในจะได้นั่งกินกันอย่างสะดวกมากขึ้น
ส่วนตนเองนั้นก็ออกมาดูแลความเรียบร้อยจัดโต๊ะเก้าเช็ดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย เมื่อมองมายังด้านหน้าก็เห็นว่ามีหญิงชราคนหนึ่งมายืนถือห่อผ้าใบเก่า ๆ ดูท่าทางการแต่งตัวแล้วก็พอจะเดาได้ว่าหญิงชราผู้นี้คงลำบากมามากเป็นแน่
เย่วซินเป็นคนมีน้ำใจยิ่งตนทำงานเกี่ยวกับอาหารเช่นนี้ย่อมไม่หวงแหนอาหารที่ตนเป็นผู้ทำมัน ยิ่งมีคนกินและมีความสุขกับอาหารก็ยิ่งทำให้มีความสุขและมีแรงบันดาลใจที่จะทำมันต่อไป ยิ่งตนมาอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้แถมยังอยู่ในฐานะที่ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินตัวเป็นเกลียวเหมือนภพก่อนนับว่าตนโชคดีไม่น้อย เมื่อเห็นคนที่อดอยากหรือหิวโหยหากพอช่วยได้ตนก็ย่อมต้องทำ
ร่างบางเดินออกไปยังด้านหน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมทันที “ท่านยายต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและยกยิ้มให้ด้วยไมตรี
ซ่งอวิ๋นเมื่อเห็นสตรีงดงามเดินออกมาและเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพูดจาไพเราะก็มีใบหน้าที่ผ่อนคลายลง คงเพราะสตรีตรงหน้ามีใบหน้าที่งดงามและยังมีน้ำใจอีกด้วย ซ่งอวิ๋นยกยิ้มเป็ยมิตรส่งกลับไปให้และแอบพึงพอใจกับการอบรมคนงานของเจ้าของโรงเตี๊ยมไม่ได้ อีกอย่างสตรีผู้นี้ก็มีใบหน้างดงามไม่น้อยเลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...