เย่วซินหลังจากทำธุระของตนเองเสร็จเรียบร้อยก็ลงมายังด้านล่างเพราะว่าต้องรอกลับจวนพร้อมกับพี่สาว เมื่อลงมาถึงรถม้าของจวนก็มาจอดหน้าโรงเตียมพอดี เย่วซินเดินขึ้นรถม้าทันทีอย่างรู้หน้าที่และไม่ขัดขืน เมื่อก่อนเย่วซินจะชอบเดินกลับจวนมากกว่าเพราะได้เดินดูวิถีชีวิตของชาวบ้านและซึมซับกลิ่นอายแบบธรรมชาติมากกว่า
ถึงแม้ว่าตนเองจะอยู่ในภพนี้มานานหลายปีแล้วแต่อย่างไรเสียตนก็ยังไม่ลืมพื้นเพของภพก่อนอยู่ดี จะว่าไปมันก็ดีกันคนละแบบภพปัจจุบันนั้นมันก็ดีอยู่ไม่น้อย บางครั้งยังเคยนอนฝันถึงตนเองในภพก่อนอยู่เลย อาจเป็นเพราะว่ายังคิดถึงชีวิตและความสะดวกสบายที่นั่นอยู่กระมัง
“อ้าว...ไท่เฟยทำไมเจ้าถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย” เย่วซินเอ่ยถามเมื่อเห็นสตรีใบหน้างดงามนั่งอยู่ด้านในรถม้าด้วย
“ข้าคิดถึงเจ้าน่ะสิ...” ไท่เฟยเอ่ยตอบ
“คิดถึงข้า?...” เย่วซินยกมือชี้มายังตนเองคล้ายทวนคำถามให้แน่ใจแต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก แล้วยังเอ่ยหยอกกลับไปว่า “คิดถึงข้าหรือคิดถึงพี่ชายคนสนิทของข้ากันแน่ไท่เฟย หึ หึ..”
“เจ้า...” ไท่เฟยเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีทันใด เย่วซินตัวแสบร้ายนักนะ คราแรกนางจะบอกเรื่องท่านยายที่ปลอมตัวมาสักหน่อยแต่เห็นทีนางต้องเอาคืนเย่วซินบ้างแล้วเหอะ...
“จริงใช่ไหมล่ะฮ่า ๆ ๆหน้าของเจ้าแดงเป็นตูดลิงเลยเจ้าดูสิอิงอิง” เย่วซินยังไม่หยุดแถมยังลากจิวอิงมาเป็นพวกของตนอีกด้วย
“เจ้าว่าข้าหน้าเหมือนตูดลิงหรือเย่วซิน” ไท่เฟยเมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยก็เริ่มฉุนขึ้นมาอีกรอบ
“เอาล่ะ ๆพวกเจ้าเจอกันทีไรเป็นต้องหยอกเล่นกันเสียทุกทีเลย” จิวอิงเอ่ยพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูสตรีทั้งสอง อย่างที่นางบอกว่าทั้งเย่วซินและไท่เฟยมีนิสัยที่เหมือนกันอยู่บ้างเวลาที่พวกนางอยู่ด้วยกันจึงไม่ค่อยยอมกันเท่าใดนัก แต่อย่าให้พวกนางเข้าขากันเลยเชียวคงวุ่นวายน่าดู
“ข้าหยอกเล่นนะไท่เฟย เจ้าเคยได้ยินไหมรักดอกจึงหยอกเล่นน่ะ” เย่วซินเอ่ยบอกอีกฝ่าย
“เช่นนั้นหรือ? เจ้าจำคำของเจ้าเอาไว้ให้ดีก็แล้วกันถึงคราวของข้าบ้างก็อย่ามาว่ากันเล่า” ไท่เฟยเอ่ยย้อน
“ข้าน้อยน้อมรับคำ” เย่วซินไม่เอ่ยเปล่ายังยกแขนขึ้นมาประสานด้านหน้าแล้วโค้งศีรษะลงเพื่อเป็นการน้อมรับคำอย่างเป็นทางการ ไท่เฟยยกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าช่องทางการต่อรองของตนสำเร็จลุล่วงด้วยดี
“ข้าให้ไท่เฟยไปพักกับเราที่จวน นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวข้าเป็นห่วง” จิวอิงเอ่ยบอกน้องสาว ถึงแม้ว่าไท่เฟยจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในยุทธภพไม่ใช่คุณหนูในห้องหออย่างสตรีในเมือง แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
“ก็ดีแล้วไปพักด้วยกันนี่แหละ” เย่วซินเอ่ยบอก
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” ไท่เฟยเอ่ยพร้อมยกยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ เมื่อมาถึงยังจวนตระกูลหมิง เย่วซินและจิวอิงก็แนะนำผู้มาเยือนให้ท่านแม่จูเซียนให้รู้จัก จากนั้นก็เดินไปทักทายทุกคนที่อยู่ในจวน
ตอนนี้ท่านพ่อหานเสวี่ยถังกำลังตั้งใจฝึกฝนพลังโดยมีท่านปู่และท่านซานจิ่นคอยช่วยเหลือ สตรีทั้งสามเดินมายังลานฝึกยุทธ์ เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตั้งใจก็ยังไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะในการฝึกซ้อม ยกเว้นกับจิวอิงที่มาเยือนที่นี่เมื่อใดนางต้องร่วมวงด้วยทุกที
จิวอิงนำกระบี่คู่กายออกมาจากแหวนจัดเก็บจากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาดีดกายขึ้นไปยังลานฝึกที่ทุกคนกำลังฟาดฟันดาบกันอย่างดุดัน ทุกคนก็ให้ความร่วมมือกันดีมากเมื่อจิวอิงเข้าไปปุ๊บก็รีบประเคนดาบมายังนางทันที เย่วซินมองการต่อสู้เบื้องหน้าด้วยท่าทางลุ้นและคันไม้คันมือเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นท่วงท่างดงามรวามกับพลังปราณของจิวอิงแล้ว เย่วซินมาคิดอีกทีตนน่าจะฝึกพลังปราณและกระบี่ตั้งแต่แรกเสียก็ดี จิวอิงดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมากเวลาที่จับกระบี่กวัดแกว่งต่อสู้ ตนอยากมีเสน่ห์อย่างนั้นบ้างจัง เย่วซินมองภาพเบื้องหน้าตาละห้อยและคันมือยิบ ๆ อย่างเข้าไปร่วมวงต่อสู้ด้วยแต่ตนก็ไม่มีวิชาพอที่จะลับฝีมือกับพวกเขาได้
“ดูเจ้าทำหน้าเข้า...” ไท่เฟยมองสตรีด้านข้างที่ทำตาละห้อยคล้ายผิดหวังบางอย่าง
“ข้าอยากร่วมวงต่อสู้กับพวกเขาด้วยนี่นา ดูท่าทางจะสนุกไม่น้อยเลย แต่ข้าก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีวิชาต่อสู้” เย่วซินเอ่ยบอกเสียงอ่อย แต่สายตาก็ยังจับจ้องภาพเบื้องอย่างไม่ลดละ
“ใช้กระบี่ต่อสู้ไม่เป็นก็สนุกได้” ไท่เฟยเอ่ยบอก
เย่วซินตาเป็นประกายระยับขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนให้ท้าย ไม่ใช่ว่าตนไม่คิดเสียเมื่อไรกัน ทั้งสองมองสบตาอย่างรู้กันในความหมายพร้อมกับยกยิ้มให้กันอย่างเจ้าเล่ห์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...