เย่วซินมองตามนิ้วก็พบว่ามีเลือดติดอยู่ที่ต้นไม้คงจะเป็นรอยเลือดที่หลังของนางคงขยับร่างกายมากไปหน่อยจึงทำให้มีเลือดไหลซึมออกมา “ข้ามีแผลที่หลังนิดหน่อยไม่ได้เจ็บมากเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมยิ้มออกมาให้พวกเขาได้คลายกังวล
“เจ้าไหวแน่นะแล้วจะกลับอย่างไร” จิ้นฝานเอ่ยถามครั้นจะขอดูบาดแผลมันคงไม่สมควรเท่าใดเพราะนางเป็นสตรี
“ข้ามากับท่านปู่รถม้าจอดอยู่ที่ชายป่าด้านนอกเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยตอบและไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านปู่จะกลับออกมาจากป่าหรือยัง
“เช่นนั้นพวกข้าไปส่งเจ้าที่รถม้าก็แล้วกัน” จิ้นฝานเอ่ยอาสาเขาเป็นบุรุษคงไม่อาจปล่อยให้สตรีที่ได้รับบาดเจ็บเดินออกจากป่าผู้เดียวเป็นแน่
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นเรารีบเดินทางกันเถิด” เย่วซินเอ่ยเพราะตอนนั้นเริ่มเย็นมากแล้วนางก็กลัวว่าท่านปู่จะรอนาน
จิ้นฝานและหยางปิงเดินกันอย่างไม่เร่งรีบเท่าใดนักเหตุเพราะร่างบางข้างๆดูเหนื่อยล้าใบหน้าซีดเซียวก้าวเท้าผ่อนลงเรื่อยๆหลังจากเดินทางกันมาได้สองเค่อเท่านั้น จิ้นฝานเดินนำหน้าร่างบางพร้อมย่อกายลงตรงหน้า
“ขี่หลังข้าเจ้าเดินต่อเองไม่ไหวหรอก” เขาไม่ได้ถามแต่เป็นการบังคับนาง
“ใช่แล้วเจ้าหน้าซีดมากขืนเดินต่ออีกหน่อยคงล้มพับเป็นแน่” หยางปิงเห็นด้วยกับสหายเขาเองก็สังเกตนางมาสักระยะหนึ่งแล้วให้นางขี่หลังจิ้นฝานเหมาะสมที่สุดแล้วเพราะจิ้นฝานร่างกายสูงใหญ่กำยำด้วยบิดาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เขาเลยฝึกซ้อมร่างกายมาอย่างหนักตั้งแต่ยังเล็ก
“ขอบคุณเจ้าค่ะลำบากท่านแล้ว” เย่วซินเอ่ยพร้อมขึ้นขี่หลังคนตัวใหญ่ที่แผ่นหลังกว้างน่าอิงแอบที่สุด ดีเหมือนกันนางเองก็พอจะรู้ตัวว่าร่างกายย่ำแย่เต็มทน เย่วซินเอื้อมมือสองข้างโอบคล้องตอคนร่างสูงนางทิ้งน้ำหนักตัวลงแนบแผ่นหลังกว้างซบใบหน้าลงบนบ่าของเขาอย่างหมดสภาพพร้อมหลับตาลงทันที
“เจ้ามีไข้ด้วยนี่” จื้นฝานเอ่ยเมื่อลมหายใจอุ่นรร้อนเป่ารดลำคอของตนพร้อมยันกายลุกขึ้นยืน สองแขนแกร่งโอบกระชับสองขาของนางเอาไว้ เพราะดูท่าทางนางคงไม่มีแรงเกี่ยวรั้งด้วยตัวเองได้แน่
“ข้ากินยาไปแล้วเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยเสียงงัวเงียด้วยรู้สึกสบายตาปรือใกล้จะปิดลงเต็มที
“จิ้นฝานที่หลังของนางมีเลือดไหลซึมออกมาเยอะมาก” หยางปิงเอ่ยเสียงเบากับสหายเมื่อเห็นแผ่นหลังของนางเปียกชุ่ม ถ้าเขาไม่เห็นรอยเลือดที่ติดอยู่บนต้นไม้ก็คงคิดว่าเป็นเหงื่อของนางเป็นแน่
“ค่อยบอกญาติของนางให้พาไปหาหมอแล้วกัน” จิ้นฝานเอ่ยพลางคิดในใจว่านางไปโดนอะไรมาถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้
“เรารีบไปกันเถิดนางจะได้รีบไปหาหมอ” หยางปิงเอ่ยแล้วทั้งสองก็ใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนกายให้เร็วขึ้น ราวๆหนึ่งเค่อก็มาถึงชายป่าด้านนอก เขาละสหายเดินลัดเลาะชายป่าอยู่สักพักก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่น่าจะเป็นคนของนางจึงเดินเข้าไปถามและได้ความว่าเป็นรถม้าของนางจริงๆเขาจึงพานางไปนอนด้านในตัวรถและเอ่ยบอกกับคนบังคับม้าว่านางมีไข้และมีบาดแผลด้านหลัง คนบังคับม้าเอ่ยรับคำและบอกว่านายท่านหรือท่านปู่ของนางคงใกล้กลับมาแล้วและทั้งสองคนก็เก่งเรื่องการแพทย์มาก จิ้นฝานได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจจึงเอ่ยลากลับเพราะตะวันเริ่มคล้อยลงมากแล้ว
ทางด้านฮุ่ยฉินเมื่อกลับมาถึงและได้รับรู้เรื่องหลานสาวจึงรีบเข้าไปดูทันที เขาหยิบมีดขึ้นมากรีดลงบนผ้าด้านหลังออกเป็นทางยาวแล้วแหวกดูบาดแผลเมื่อเห็นก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“ซินเอ๋อร์เหตุใดถึงได้มีบาดแผลมากมายเช่นนี้กัน” ฮุ่ยฉินเอ่ยถามหลานสาวแต่นางคงไม่ได้ยินเพราะยามนี้หลับใหลไม่ได้สติคงเป็นเพราะฤทธิ์ไข้ ฮุ่ยฉินสั่งคนบังคับม้าให้เคลื่อนตัวกลับที่พัก ส่วนตัวเองนั้นใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำแล้วเช็ดทำความสะอาดบาดแผลและใส่ยาขนานดีที่เป็นคนปรุงเองเพราะกลัวว่าบาดแผลนี้จะทิ้งรอยแผลเป้นไว้บนร่างกายของนาง
จวนตระกูลซูบนเรือนใหญ่ยามซวี(19.00-20.59) “พี่ใหญ่เรื่องที่ข้าขอร้องท่านจะช่วยหรือไม่เจ้าคะ” ซูเจียวเหมยเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังนอนอยู่บนเตียงหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย
“เจ้าเห็นสภาพของข้าหรือไม่เล่า” ซูหมิงลู่เอ่ยบอกน้องสาวใบหน้าของตนตอนนี้ยังแดงและมีผื่นคันอยู่เลยนึกแล้วมันน่าโมโหยิ่งนัก
“โถ่..พี่ใหญ่ไม่เห็นเป็นไรเลยข้าเห็นว่าท่านชมชอบสตรีงามข้าก็เสนอให้ท่านและยังได้แก้แค้นแทนน้องสาวอีกท่านจะไม่ช่วยข้าเชียวหรือ” ซูเจียวเหมยเอ่ยวาจาหว่านล้อมให้พี่ชายทำตามแผนของตน นางจิวอิงงดงามแล้วอย่างไรในเมื่อมันจะต้องกลายเป็นสตรีอุ่นเตียงของพี่ชายตนในอีกไม่ช้านี้
“ก็ได้ๆว่าแต่มันงามแน่นะถ้าอัปลักษณ์พี่ไม่เอาด้วยหรอก” ซูหมิงลู่เอ่ยถามน้องสาว
“รับรองเจ้าค่ะ แล้วพี่ใหญ่จะลงมือเมื่อใดแต่ข้าว่าตอนนี้เหมาะสมที่สุดเพราะพวกมันเพิ่งถูกโบยไปคงไม่ค่อยมีแรงขัดขืนมากเท่าใดนัก” ซูเจียวเหมยเอ่ยบอกพี่ชาย
“เช่นนั้นหรือ ดีๆ หลิ่งอี้..” ซูหมิงลู่ตะโกนเรียกลูกน้องคนสนิทที่คอยดูแลรับใช้ข้างกาย
“ขอรับคุณชาย” หลิ่งอี้เปิดประตูเข้ามาทันทีที่ได้ยินเจ้านายเอ่ยเรียก
“คืนนี้ไปจับตัวสตรีที่ชื่อจิวอิงอยู่เรือนท้ายจวนแล้วพาไปไว้ที่เดิมของข้าระวังอย่าให้ผู้ใดจับได้เป็นอันขาด” ซูหมิงลู่เอ่ยสั่ง
“ขอรับคุณชาย” หลิ่งอี้รับคำแล้วออกไปทันที
“ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุดเลยเจ้าค่ะ” ซูเจียวเหมยเข้ามาสวมกอดพี่ชายอย่างออดอ้อนที่เขายอมตามใจนางทุกอย่าง
เรือนท้ายจวน “พี่เสี่ยวชิงทานข้าวก่อนจะได้ทานยา” จิวอิงบอกพี่เสี่ยวชิงที่นอนอยู่บนเตียง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...