เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสามเตรียมตัวออกเดินทางโดยรถม้าคันเดิมเพิ่มเติมคือผู้โดยสารด้านใน ตอนนี้อาการป่วยของจิวอิงดีขึ้นมาก ส่วนบาดแผลตามร่างกายของสตรีทั้งสามคนก็เกือบหายสนิทเหมือนกันด้วยยาชั้นดีของท่านหมอฮุ่ยฉิน จิวอิงยังคงแต่งแต้มใบหน้าให้เข้มกว่าสตรีทั่วไปมีผมม้าปิดบังใบหน้าเติมไฝใต้หางตาขวา รวบผมครึ่งศีรษะปักด้วยปิ่นไม้ธรรมดาสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่น้องสาวเป็นผู้หามาให้
เย่วซินวันนี้สวมชุดสีเขียวอ่อน รวบผมครึ่งศีรษะปักด้วยปิ่นเงินส่วนผมม้าที่ตัดคราวก่อนนั้นก็รวบเก็บขึ้นทั้งหมดสวมผ้าคาดปิดบังใบหน้าเพื่อพลางตาจากคนไม่ประสงค์ดี แต่ตนหารู้ไม่ว่าสตรีหน้าดำก็เป็นเป้าหมายของผู้ไม่ประสงค์ดีเช่นเดียวกัน
ตอนนี้รถม้าได้เคลื่อนตัวออกมาได้สักพักหนึ่งจนถึงหน้าประตูเมือง มีทหารทำหน้าที่ตรวจสอบตามปกติฮุ่ยฉินได้ให้คนของตนจัดการเรื่องป้ายประจำตัวของจิวอิงและเสี่ยวชิงอาไว้เมื่อวันก่อนแล้วจึงไม่มีปัญหาในการตรวจสอบรถม้าเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองแคว้นฉินมุ่งหน้ากลับแคว้นของตนทันที
“พบแล้วหรือ?” ซูหมิงลู่เอ่ยย้ำกับคนสนิทที่มารายงาน
“ขอรับ ทหารที่เฝ้าประตูเมืองรายงานว่าพบสตรีคล้ายในภาพวาดแม้มองไม่ชัดเจนเพราะนางมีผ้าปิดหน้าแต่มีส่วนคล้าย แต่ที่ชัดเจนคือสตรีหน้าดำก็อยู่บนรถม้าคันนั้นด้วยขอรับ” หลิ่งอี้เอ่ยรายงาน
“ดี...จะได้จัดการพร้อมกันเลยทีเดียว เจ้าไปจ้างคนฝีมือดีที่สำนักรับจ้างให้จัดการพวกมันเสียไม่ต้องเอาตัวมันกลับมาประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องใหญ่” ซูหมิงลู่เอ่ยสั่งคนของตน
“รับทราบขอรับคุณชาย”
ซูหมิงลู่ไม่คิดจะปล่อยคนที่ทำร้ายตนและน้องสาวให้ลอยนวลไปได้ พวกมันบังอาจนักจนป่านนี้ซูเจียวเหมยน้องสาวของตนยังนอนจับไข้อยู่เลยแถมผิวกายและใบหน้ายังตุ่มขึ้นหนอง ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวว่าจะติดโรคแม้แต่ตัวของเขาเองเวลาเข้าไปยังต้องยืนดูอยู่ห่างๆและใช้ผ้าปิดจมูกอีกชั้นหนึ่ง
กลางยามอิ่ว(17.00-18.59)รถม้าคันใหญ่ยังคงวิ่งไปตามทางมีหยุดพักม้าบ้างระหว่างทาง การเดินทางไม่ได้เร่งรีบเท่าใดนัก แต่ทั้งหมดตกลงกันว่าจะแวะพักตามเมืองเล็ก ๆ เพราะถ้าพักกลางป่าเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัยเท่าใดในยามค่ำคืน
“พวกเจ้าหิวหรือไม่อีกไม่นานจะถึงเมืองย่อยแล้วเราจะพักกันที่นั่น” ฮุ่ยฉินเปิดผ้าม่านแล้วถามสตรีทั้งสามที่อยู่ด้านใน ตนออกมานั่งด้านหน้ากับคนบังคับม้าเมื่อช่วงบ่ายคล้อยเพราะไม่อยากอุดอู้อยู่ภายในรถม้าจึงออกมานั่งรับลมด้านนอก
“พวกหลานยังไม่หิวเจ้าค่ะท่านปู่” เย่วซินเอ่ยบอก
“พ้นเขตป่านี้ไปอีกสักพักก็จะถึงแล้ว” ฮุ่ยฉินเอ่ยบอกผู้โดยสารด้านในให้รับรู้
“รับทราบเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยตอบเช่นเดิมพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้ท่านปู่ การเดินทางในครั้งนี้ไม่เงียบเหงา ปกติรถม้าเคลื่อนตัวไม่เท่าไรนางก็คอพับคออ่อนแล้ว แต่ครั้งนี้มันช่างตื่นเต้นอย่างไรบอกไม่ถูกหรืออาจเป็นเพราะมีพี่สาวมาร่วมเดินทางก็เป็นได้ เย่วซินยกยิ้มคนเดียวอย่างสุขใจแต่ไม่ทันได้ตั้งตัวจู่ ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหันจนตนเองหัวทิ่มลงอีกฟาก
“แหก ๆ...หมดแล้ว” คำอุทานอันไม่สมควรหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่โชคดีที่ไม่มีใครฟังออกเพราะนางอุทานออกมาเป็นภาษาไทย ส่วนจิวอิงและพี่เสี่ยวชิงกอดกันกลมอย่างตกใจ
“ท่านปู่...เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” เย่วซินได้สติจึงรีบเอ่ยถามท่านปู่ทันที
“มีคนขวางหน้ารถม้าเอาไว้ ดูท่าทางไม่น่ามาดีพวกเจ้าระวังตัวด้วยพวกมันมากันหลายคน” ฮุ่ยฉินเอ่ยบอกเพราะรับรู้ถึงจิตสังหารที่แพร่ออกมาของกลุ่มชายตรงหน้าที่มากันนับสิบคน อย่างไรก็ยังตึงมือของตนเพราะรวมตนเอง คนบังคับม้าและเงาที่คอยติดตามอีกสองคนแล้วถือว่ายังเสียเปรียบอยู่มาก ฮุ่ยฉินเริ่มเป็นกังวลเพราะเป็นห่วงหลานสาวทั้งสองกลัวจะได้รับอันตราย
ทั้งสามคนได้ยินดังนั้นต่างก็มีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก จิวอิงเลิกผ้าม่านออกเล็กน้อยสอดส่ายตาออกไปมองด้านนอกก็เห็นชายชุดดำยืนล้อมรถม้าเอาไว้ ไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดเสียงฟาดฟันด้านนอกก็ดังขึ้น
“ทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู พวกมันมากันหลายคนนัก” เสี่ยวชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนเพราะความกลัวเกาะกุมหัวใจเหตุการณ์เช่นนี้ช่างคล้ายกับอดีตที่เคยพบเจอกลัวต้องสูญเสียอย่างเช่นกาลก่อนอีก
“พี่เสี่ยวชิงใจเย็นเจ้าค่ะพวกเราต้องปลอดภัย ซินเอ๋อร์เจ้าพอจะมีอาวุธให้พี่บ้างหรือไม่” จิวอิงเอ่ยถามน้องสาว ตอนนี้เหตุการณ์ขับขันถ้ามีอาวุธไว้ป้องกันตัวย่อมเป็นผลดีอย่างน้อยก็ยังได้สู้
“สักครู่” เย่วซินค้นหากระบี่ที่ตนเก็บเอาไว้ในแหวนจัดเก็บแต่เพราะไม่ได้หยิบออกมานานจึงต้องค้นหานิดหน่อย พร้อมกับหยิบเข็มที่เคลือบยาสลบเอาไว้ออกมาด้วย เมื่อนำกระบี่ออกมาจิวอิงก็รีบหยิบขึ้นมาทันทีจนเย่วซินต้องเอ่ยยั้งเอาไว้ “ช้าก่อนให้ข้าเคลือบยาสลบที่กระบี่ก่อน” เย่วซินเลือกใช้ยาสลบเพราะถ้าคนร้ายโดนกระบี่ทำให้เกิดบาดแผลพวกมันก็จะหมดฤทธิ์ทันทีอยู่ที่จิวอิงแล้วว่าจะมีความสามารถหรือไม่
“ว้ายย...” จู่ ๆ ก็มีปลายกระบี่เงาวับเสียบเข้ามาภายในโชคดีที่ไม่โดนผู้ใดเกือบไปแล้ว... เย่วซินถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ความโมโหบังเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “จิวอิงรีบออกจากรถม้าเร็วในนี้ไม่ปลอดภัย” จะปลอดภัยได้อย่างไรเล่าเสียงต่อสู้อยู่รอบรถเช่นนี้กระบี่จะเสียบมาทางไหนอีกก็ไม่รู้ทางที่ดีต้องออกไปด้านนอกอย่างน้อยก็รับรู้ว่าคนร้ายจะโจมตีทางไหน
“ตามพี่มา” จิวอิงคว้ากระบี่เดินนำน้องสาวและพี่เสี่ยวชิงออกมาก่อนแต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงรถม้าก็มีชายชุดดำคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาทันที มันฟาดกระบี่ลงมาอย่างไม่ออมแรงจิวอิงยกกระบี่ขึ้นมาต้านเอาไว้ แล้วยกเท้าถีบหน้าท้องคนร้ายอย่างสุดแรงจนมันร่วงลงจากรถม้าไปแม้จะไม่รุนแรงมากเพราะจิวอิงไม่มีพลังปราณเฉกเช่นบุรุษ แต่ก็ทำให้มันเจ็บตัวได้ไม่มากก็น้อย แล้วรีบกระโดดตามลงไปทันทีก่อนทีมันจะตั้งตัวทันหวังจะฝากบาดแผลไว้บนร่างกายสักแผลก็ยังดี
เย่วซินก้าวตามออกมาจากรถม้าเมื่อทางสะดวกจึงรับกระโดดลงอย่างว่องไวแล้วหันไปมองพี่เสี่ยวชิงกระโดดตามมาติด ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เย่วซินคว้ามือพี่เสี่ยวชิงมาจับเอาไว้แน่นนางต้องปกป้องพี่เสี่ยวชิงแทนพี่สาว แล้วก้าวเท้าออกไปทางที่จิวอิงต่อสู้อยู่
ดูเหมือนจิวอิงจะยังไม่สามารถทำให้พวกมันมีบาดแผลจากกระบี่เคลือบยาสลบได้ เย่วซินหยิบเข็มเล่มบางออกมาหนึ่งเล่มใช้ปราณที่มีอยู่น้อยนิดบังคับเข็มนั้นส่งออกไปยังคนร้ายที่ดูจะได้เปรียบจิวอิงอยู่ ไม่พลาดเข็มปักกลางหลังจัง ๆ คนร้ายล้มลงทันทีที่โดนเพราะมันเป็นชนิดรุนแรงที่ใช้ล้มช้างได้เลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...