คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 71

สรุปบท บทที่ 71 สตรีล้วนเข้าใจยาก: คู่แฝดคู่ป่วน

อ่านสรุป บทที่ 71 สตรีล้วนเข้าใจยาก จาก คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน

บทที่ บทที่ 71 สตรีล้วนเข้าใจยาก คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายโรแมนซ์ คู่แฝดคู่ป่วน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ไป๋หลัน อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เมื่อคืนเย่วซินกลับมายังกระโจมของตนเองในยามจื่อ(23.00-00.59) หลังจากทดลองยารักษาพิษเสร็จเรียบร้อย ประมุขจ้าวบอกว่ายาพิษที่ชาวบ้านได้รับคือพิษจากหญ้าลิ้นอสรพิษที่มีคนนำไปวางไว้บนต้นน้ำ พอชาวบ้านไปตักน้ำมาดื่มกินจึงทำให้ได้รับพิษและตอนนี้หมอของพรรคต่างๆก็ช่วยกันปรุงยาแก้พิษให้ชาวบ้านแล้ว

แต่จากที่นางทดลองผลเลือดพบว่าพิษพวกนี้มันมีการพัฒนาความรุนแรงขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ที่ได้พิษ ในกระโจมผู้ป่วยหนักส่วนมากจะมีแต่เด็กและคนชราที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันน้อยพิษลิ้นอสรพิษจึงทำงานได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง แน่นอนว่ายารักษาของพวกเขาย่อมต้องแตกต่างและรุนแรงเช่นกัน

เช้าวันนี้เย่วซินรีบจัดการธุระส่วนตัวแล้วเดินไปยังกระโจมผู้ป่วยหนักเพื่อตรวจดูว่าหลังจากให้น้ำเกลือไปแล้วพวกเขามีอาการเช่นไรอีก และเป็นที่น่ายินดีเพราะไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเย่วซินจึงรีบทดลองตัวยาที่ปรุงขึ้นเมื่อคืนให้คนป่วยทันที

“คุณหนูไม่ให้พวกเขาดื่มยาหรอกหรือ?” หมอหลวงกู้เอ่ยถามเมื่อเห็นขวดยาตรงหน้าและคุณหนูเย่วซินกำลังใช้เข็มฉีดเข้าไปในสายน้ำเกลือแทน

“ท่านหมอหลวง ข้าฉีดยาเข้าไปทางเส้นเลือดจะเห็นผลรวดเร็วกว่าให้พวกเขาดื่มกินเจ้าค่ะ” เย่วซินเอยตอบตามที่หมอหลวงสงสัยและเอ่ยต่อว่า “ข้าจะให้ยาคนป่วยหนักรายนี้ก่อนถ้าเขาอาการดีขึ้นค่อยให้รายต่อไปนะเจ้าคะ ฝากท่านหมอหลวงติดตามอาการเขาด้วยข้าจะไปดูกระโจมอื่นก่อน”

“คุณหนูไม่ต้องห่วงทางนี้ข้าจัดการเอง”

เย่วซินเดินมาอีกกระโจมหนึ่งซึ่งสองกระโจมนี้อยู่ในการดูแลของพรรคต่างๆที่มาร่วมด้วยช่วยกัน และแน่นอนว่านางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรมากมายถ้าทำตัวรู้มากย่อมไม่เป็นผลดีพาลจะทำให้มีคนไม่พอใจเพิ่มขึ้นอีก

“อ้าว...แม่นางเย่วซินเจ้ามาทำอะไรแถวนี้หรือ?” กวนลู่ซือเอ่ยถามเมื่อเห็นสตรีในชุดสีฟ้าอ่อนมีผ้าปิดบังใบหน้าเช่นเดิมเดินผ่านมา ทำไมนางต้องปิดบังใบหน้าด้วย

“ข้ามาดูคนป่วยด้านในเจ้าค่ะ เห็นประมุขจ้าวบอกว่ามียารักษาคนป่วยแล้ว” เย่วซินเอ่ยตอบ

“เช่นนั้นเราเข้าไปพร้อมกันเลยเถิด” กวนลู่ซือเอ่ยพร้อมชักชวนสตรีตรงหน้า ตอนนี้ตนยังไม่เชื่อหรอกว่าไท่เหว่ยจะรักสตรีผู้นี้จริงๆจึงต้องหาทางสนิทสนมเอาไว้เพื่อค้นหาความจริง

เย่วซินเข้ามาในกระโจมผู้ป่วยมีสายตาหลายคู่จ้องมองอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่คิดใส่ใจเพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเท่านั้นเป็นพอ

“แม่นางท่านนี้ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือ?” หมอประจำของพรรคท่านหนึ่งเอ่ยถาม

“ข้ามาดูอาการคนป่วยเท่านั้นเชิญพวกท่านทำงานต่อเถิดเจ้าค่ะอย่าสนใจข้าเลย” เย่วซินเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตร

“เจ้าเป็นใครกันถึงได้มาสั่งพวกข้า” เสียงหมออีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ

“ท่านเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ข้าเป็นห่วงพวกชาวบ้านเลยเข้ามาดูอาการของพวกเขาเท่านั้น” เย่วซินเอ่ยอธิบายแต่ดูท่าทางของคนพวกนี้ช่างหัวร้อนกันจริงเชียว

“ท่านหมอทั้งหลายแม่นางเย่วซินเป็นคนของทางการมาช่วยรักษาชาวบ้านพวกท่านอย่าเอาความกับนางเลยเจ้าค่ะ” กวนลู่ซือเอ่ยห้ามน้ำเสียงอ้อนวอนด้วยใบหน้าที่งดงามเป็นที่เลื่องลือไม่มีพรรคใดไม่รู้จักและรักใคร่จึงทำให้หมอทั้งหลายอ่อนลงหลายส่วน

“คนของทางการหรือ?พวกเขาดูถูกเราย้ายผู้ป่วยอาการรุนแรงไปอยู่ในความดูแลของพวกเขาทั้งหมดคงอยากอวดว่ามีฝีมืออย่างนี้มันหยามกันเกินไป”

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะท่านหมอ ทั้งคนของเราและคนของทางการต่างมาช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกันทั้งนั้น” กวนลู่ซือเอ่ยแก้ต่างแทน

“เจ้ามันใจดีมองโลกในแง่ดีแถมยังงดงามอีกช่างเหมาะสมกับประมุขจ้าวยิ่งนัก” หมอของพรรคท่านหนึ่งเอ่ยพร้อมยกยิ้มหมอผู้นั้นก็คือหมอพรรคเดียวกับลู่ซือนั่นเอง

“ท่านเอ่ยชมข้าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” กวนลู่ซือเอ่ยด้วยใบหน้าเขินอายรู้สึกปลื้มปริ่มอยู่ในใจ ใช่แล้วไม่มีใคร่ที่คู่ควรกับจ้าวไท่เหว่ยเท่าตนเองอีกแล้ว

เย่วซินยืนฟังบทสนทนาแล้วรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาจนไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปจึงรีบเอ่ยขัด “ข้ามีงานต้องทำเช่นนั้นขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เอ่ยจบก็เดินออกมาทันทีอย่างหัวเสียแล้วรีบเดินจ้ำกลับกระโจม

“เจ้าไปไหนมาข้าตามหาจนทั่วไปกินข้าวกันเถิดข้าให้คนตั้งสำรับไว้รอแล้ว” หยางปิงเอ่ยทันทีที่หาตัวพบ

“เชิญองค์ชายตามสบายตอนนี้หม่อมฉันกินอะไรไม่ลงหรอกเพคะ” เย่วซินเอ่ยตอบ

“เจ้าเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่าตั้งแต่มาที่นี่เจ้าไม่ค่อยอยากอาหารเลย” หยางปิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ใช่ หม่อมฉันไม่อยากอาหารมันเลี่ยนไปหมดจนอยากจะอาเจียน...ไม่ไหวแล้วขอตัวก่อนนะเพคะ” เอ่ยจบก็รีบเดินเลี่ยงไปอีกทางทันทีเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ขุ่นเคืองอยู่ในใจ...

ทางด้านหานเฟิ่งอวี่และหานเฟิ่งฮวาตอนนี้พักอยู่ที่พรรคอสรพิษหลังจากเดินทางออกจากวังหลวงแคว้นหนิง ด้วยแผนการที่วางเอาไว้ล้มเหลวไปหมดแถมยังถูกย้อนเกล็ดจนเสียท่าโดยง่ายและแผนการที่ต้องพังเช่นนี้ก็เป็นเพราะหมิงเย่วซินเพียงคนเดียวขนาดมันบาดเจ็บหนักยังไม่วายแส่หาเรื่อง

พิษชนิดรุนแรงที่จัดการกับเหล่าทหารและองครักษ์เสียราบคาบจนทำให้องค์ชายหยางหลงรวบตัวองค์ชายเหล่ยหลงได้อย่างรวดเร็วนั้นต้องมาจากนางไม่ผิดตัวเป็นแน่ แต่ยังโชคดีที่ได้รับรู้ว่าใบหน้าของนางไม่ได้งดงามเช่นเคย มือสังหารที่ไปทำหน้าที่ครานั้นกลับมารายงานเรื่องนี้เพราะพวกมันเห็นตอนที่กำลังต่อสู้กัน เฟิ่งฮวายิ้มเยาะอย่างยินดีโดยไม่ได้นึกว่านางไปโดนอะไรมาถึงได้เป็นแบบนี้

“ดีนะที่พวกเจ้าไม่ออกตัวอย่างโจ่งแจ้งไม่เช่นนั้นแคว้นหานคงมีศัตรูเพิ่มขึ้นเป็นแน่” เจิ้งจื่อยิ่นประมุขพรรคอสรพิษเอ่ยกับหลานๆของตนเอง

“เป็นความผิดของข้าเองขอรับที่อยากช่วยสหายจนทำให้ทุกคนเดือดร้อน” หานเฟิ่งอวี่เอ่ยอย่างสำนึกผิด

“เอาละๆทีหลังคิดทำการสิ่งใดต้องรอบคอบให้มากเข้าใจหรือไม่” เจิ้งจื่อยิ่นเอ่ยเตือน

“ขอรับ”

“เจ้าค่ะท่านตา”

“ตอนนี้พวกเจ้าจงไปช่วยชาวบ้านรักษาพิษที่ข้าให้คนไปลอบวางไว้ก่อน พรรคต่างๆจะได้ไม่สงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกเรา” เจิ้งจื่อยิ่นเอ่ย

“ได้เจ้าค่ะ แต่เราไปพวกมันจะไม่ยิ่งสงสัยหรือเจ้าคะ” หานเฟิ่งฮวาเอ่ยถาม

“เราไปช่วยให้ชาวบ้านรอดชีวิตจะมีผู้ใดกล่าวโทษได้ ยาพิษชนิดนี้ไม่ใช่จะรักษากันได้ง่ายๆนอกจากพรรคอสรพิษแล้วจะมีผู้ใดเก่งกาจเท่าฮ่าๆ” เจิ้งจื่อยิ่นเอ่ยพร้อมหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เพราะมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสามารถถอนพิษชนิดนี้ได้

“นับว่าเป็นเรื่องดีจริงๆ เช่นนั้นเราออกไปกินข้าวด้านนอกเถิดข้าให้ซานจิ่นจัดเตรียมสำรับเอาไว้แล้ว” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยชวนเพราะเห็นว่านางมัวแต่ทำงานจนไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย

“องค์ชายหยางปิงเตรียมเอาไว้รอข้าแล้วเชิญท่านประมุขตามสบาย”

“เจ้าต้องไปกินกับข้าห้ามปฏิเสธ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงเข้มเมื่อคนร่างเล็กขัดใจ นางเป็นคนรักของเขาจะไปกินข้าวกับบุรุษอื่นได้อย่างไรกัน ถึงแม้จะเป็นคนรักปลอมๆก็เถอะ

“จิ๊ๆ...นิสัยแบบนี้แก้อยากจริงๆ ไปก็ไปข้าขี้เกียจเถียงกับท่านแล้ว” เย่วซินส่ายหน้าพร้อมครางในลำคอถึงความเอาแต่ใจของคนตัวสูง และยอมเดินตามออกมาแต่โดยดี

“จะไปไหนกันหรือเจ้าคะพี่ไท่เหว่ย” กวนลู่ซือเอ่ยถามคนคุ้นเคย ตนรู้ว่าเขามายังกระโจมหลังนี้จึงรีบติดตามมาและเจอทั้งสองคนกำลังเดินออกมาพอดี

“ข้ามาตามเย่วซินไปกินข้าวเพราะนางชอบทำงานจนลืมเวลา” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยตอบเสียงเรียบ

“ข้าก็กำลังมาตามท่านไปกินมื้อเย็นด้วยกันอยู่พอดี แม่นางเย่วซินไปกินมื้อเย็นกับพวกเราด้วยก็ยิ่งดีเลย” กวนลู่ซือเอ่ยพร้อมยิ้มสดใส แต่ในใจรู้สึกอิจฉาสตรีนางนี้ยิ่งนักที่ไท่เหว่ยให้ความสำคัญ เมื่อก่อนไท่เหว่ยเคยให้ความสำคัญกับตนเองเป็นคนแรกเสมอ ที่เขาเย็นชาเช่นนี้ก็สมควรแล้วเพราะเป็นตนเองที่สลัดความรักที่เขามอบให้อย่างไม่ใยดีเอง

“เย่วซินนางไม่สะดวกร่วมโต๊ะกับผู้อื่น” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยปฏิเสธ เย่วซินนางต้องใช้ผ้าปิดบังใบหน้าอยู่ตลอดเวลาคงกลัวผู้อื่นเห็นใบหน้า สตรีเรื่องความงามนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าให้ลู่ซือร่วมโต๊ะด้วยคงไม่สะดวกนัก

 กวนลู่ซือนึกน้อยใจคงไม่ใช่สตรีผู้นี้หรอกที่ไม่อยากร่วมโต๊ะ เขาจะตัดขาดความรักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่นี่มันเกินไปแล้วจริงๆแม้ความเป็นพี่น้องก็ให้ไม่ได้เลยหรือ

“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเชิญพวกท่านตามสบาย” เอ่ยจบลู่ซือก็เดินจากไปทันทีด้วยความน้อยใจ

“ท่านไม่สงสารนางหรือ?แค่กินข้าวด้วยกันไม่เห็นเป็นอะไรเลย” เย่วซินเอ่ยตำหนิถ้าเป็นนางที่โดนกระทำเช่นนี้คงเอาหน้ามุดดินหนีเป็นแน่

“ข้ากลัวว่านางจะเห็นใบหน้าของเจ้า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยตอบเขาทำเช่นนี้เพราะนางนั้นแหละ เห็นนางชอบปิดบังใบหน้ายามอยู่ที่นี่คงเพราะยังไม่มั่นใจกับใบหน้าแม้ยามนี้จะทาครีมปกปิดเอาไว้ก็ตาม

“อ๋อง...ท่านอายหรือ?ถึงไม่ให้ใครเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของข้า ไหนบอกว่าไม่สนใจอย่างไรเล่าที่แท้ก็โกหก” เย่วซินเอ่ยต่อว่าทันทีโดยไม่ตรึกตรองให้ถ้วนถี่ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นห่วงความรู้สึกของนางเองทั้งนั้น เอ่ยจบก็เดินหนีไปทันทีด้วยความโมโห

“เฮ้อ...สตรีล้วนเข้าใจอยาก” จ้าวไท่เหว่ยถอนหายใจไม่เข้าใจถึงความคิดของสตรี

“สตรีก็เป็นเช่นนี้แหละขอรับประเดี๋ยวก็หายโกรธเอง” ซานจิ่นเอ่ยปลอบประมุขของตน

“เจ้าเอ่ยราวกับว่าเคยมีความรัก”

ซานจิ่นไม่ได้เอ่ยตอบเพียงยกยิ้มเท่านั้น แล้วหวนให้นึกถึงสตรีนางหนึ่งที่เขาสนิทสนมด้วยเมื่อสิบห้าปีก่อนไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง…

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน