คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 83

สรุปบท บทที่ 83 ท่านรักข้าหรือยัง: คู่แฝดคู่ป่วน

ตอน บทที่ 83 ท่านรักข้าหรือยัง จาก คู่แฝดคู่ป่วน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 83 ท่านรักข้าหรือยัง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ คู่แฝดคู่ป่วน ที่เขียนโดย ไป๋หลัน เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เย่วซินหลังจากลับฝีปากกับบิดาจนพอใจก็เรียกซานจิ่นและเกาซูหลางเข้ามาด้านในห้อง เพื่อที่จะได้ช่วยกันยืนยันเรื่องที่ตนเองจะเอ่ยเล่าทั้งหมดว่ามันคือเรื่องจริง แม้ตอนนี้ท่านพ่อจะยังจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้แต่ตนก็จะพยายามพูดคุยและเล่าทุกอย่างให้เขาฟังทุกวัน

 “ท่านพ่อจำปิ่นปักผมชิ้นนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมหยิบปิ่นปักผมหยกขาวลวดลายมังกรฝังพลอยสีแดงตรงดวงตาดูที่น่าเกรงขามและสวยงามออกมาจากแหวนจัดเก็บส่งให้บิดาได้ดู

หานเสวี่ยถังหยิบปิ่นปักผมหยกขาวมาจากมือเรียวเล็กของสตรีตัวน้อยที่อ้างว่าเป็นบุตรสาวของตน ครั้งแรกที่เขาได้เห็นปิ่นหยกพลันหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาทันที จากนั้นก็มีภาพซ้อนขึ้นมาในหัวมันเป็นภาพที่ไม่ชัดเจนเท่าใดนักแต่พอจับใจความได้ว่า

‘เหม่ยเอ๋อร์เจ้าเก็บปิ่นอันนี้เอาไว้ให้ดี มันเป็นของแทนใจและคำสัญญาของพี่ว่าจะกลับมาหาเจ้า’

ภาพและเสียงพูดคุยเลือนลางหายไปหานเสวี่ยถังยกมือขึ้นกุมศีรษะเพราะรู้สึกปวดหัวอย่างเฉียบพลันและรุนแรงเท่านั้นยังไม่พอเขารู้สึกปวดหนึบที่หัวใจจนต้องร้องออกมา “โอ๊ยย...”

“ท่านพ่อ!!” เย่วซินรีบเข้าไปหาบิดาด้วยความตกใจ

“นายท่าน!!” ซานจิ่นและเกาซูหลางเอ่ยขึ้นพร้อมกันแล้วช่วยกันประคองร่างของผู้เป็นนายมานอนพักที่เตียงด้วยสีหน้าเป็นกังวลเช่นกัน

“ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ดีขึ้นหรือยัง” เย่วซินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลเพราะกลัวว่าบิดาจะอาการกำเริบขึ้นมาอีก เย่วซินหยิบเม็ดยาที่ลดอาการเครียดออกมาป้อนบิดาของตน

“ท่านพ่อกินยาก่อนเจ้าค่ะแล้วนอนพักผ่อนเสียหน่อย ข้าจะไปเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ให้ตื่นแล้วเราค่อยมากินข้าวด้วยกันนะเจ้าคะ” เย่วซินป้อนเม็ดยาให้ผู้ป่วยและท่านก็ยอมกินอย่างว่าง่ายตามด้วยน้ำชาอุ่นๆ เพียงครู่บิดาของตนก็เริ่มผ่อนคลายและคล้อยหลับไป

“ฝากท่านทั้งสองช่วยดูแลท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะเข้าครัวเสียหน่อย” เย่วซินเอ่ยบอกซานจิ่นและเกาซูหลาง เพราะไม่อยากปล่อยให้บิดาต้องอยู่คนเดียว

“นายท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ขอรับคุณหนู” ซานจิ่นเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเพราะจู่ๆนายท่านก็ปวดหัวอย่างรุนแรง

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่ออาจกำลังจะพยายามจดจำเรื่องราวในอดีตจึงเกิดอาการปวดหัวรุนแรงพักผ่อนสักหน่อยอาการก็ดีขึ้น” เย่วซินเอ่ยบอก ปิ่นปักผมหยกขาวคงไปกระตุ้นความทรงจำบางอย่างของบิดาไม่แน่ท่านอาจจะจดจำบางอย่างได้บ้างแล้ว

“นายท่านเริ่มจดจำได้แล้วหรือขอรับ ข้าน้อยดีใจยิ่งนัก” เกาซูหลางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นมาทันทีด้วยความยินดี

“เจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมยกยิ้มไปให้เช่นกัน จากนั้นก็เดินออกไปแล้วตรงไปยังห้องครัวทันที

เกาซูหลางที่ได้รับรู้จากซานจิ่นคร่าวๆว่านายท่านมีคนรักและมีบุตรสาวฝาแฝดคือคุณหนูเย่วซินส่วนอีกคนหนึ่งคือคุณหนูจิวอิง ซึ่งซานจิ่นเองก็ยังไม่เคยพบเห็นเช่นกัน คราแรกเขาเองก็ตกใจมากแต่เมื่อมองคุณหนูเย่วซินดีๆก็พบว่านางช่างคล้ายกับนายท่านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่สวยคู่นั้น จากนั้นเกาซูหลางก็ให้ซานจิ่นเล่าเรื่องราวของคุณหนูให้ตนฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง

วันนี้เย่วซินเข้าครัวทำอาหารด้วยความตั้งใจเพราะตนตั้งใจเอาไว้แล้วว่าต่อจากนี้ไปจะไม่กลั่นแกล้งประมุขจ้าวอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาคือผู้มีพระคุณอันสูงสุดที่ตนต้องตอบแทน วันนี้จึงทำอาหารให้เขากินอย่างสุดฝีมือ และยังใจดีให้พ่อครัวของทางพรรคเข้ามาดูการทำอาหารและช่วยหยิบจับบ้างเผื่อวันข้างหน้าเขาจะได้ทำให้คนในพรรคกินกัน

ภายในครัวมีวัตถุดิบให้เลือกสรรมากมายทั้งเนื้อ นม ไข่ ผักและผลไม้ เย่วซินมองดูวัตถุดิบเหล่านี้แล้วพอใจอย่างยิ่ง วันนี้เย่วซินจึงทำอาหารง่ายๆที่คิดว่าท่านประมุขคงยังไม่เคยกินจากที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน

เย่วซินหยิบปลาขึ้นมาแร่เอาแต่เนื้อแล้วล้างคาวด้วยเกลือ จากนั้นก็หมักด้วยซอสปรุงรสและผงหม่าล่าให้มีรสชาติเผ็ดร้อนนิดหน่อย ตอกไข่ใส่ถ้วยตีให้ไข่แดงแตก และนำเกล็ดขนมปังออกมาใส่จาน เมื่อเตรียมวัตถุดิบพร้อมก้เริ่มลงมือทอดทันที

หยิบปลาที่หมักขึ้นมาจุ่มลงในถ้วยไข่แล้วคลุกด้วยเกล็ดขนมปังจากนั้นก็เอาลงกะทะที่ตั้งไฟใส่น้ำมันเอาไว้เรียบร้อย เมื่อเหลืองกรอบได้ที่ก็ตักขึ้นมาพักน้ำมันล้วทอดชิ้นต่อไปเรื่อยๆ มันเทศเย่วซินก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วทอดเช่นเดียวกัน

เครื่องปรุงต่างๆที่เย่วซินใช้ทำอาหารนั้นมาจากเรือสินค้าของปีเตอร์ที่ไปกว้านซื้อมาเมื่อคราวก่อน ครั้งนั้นหมดเงินไปมากโขจนเกือบหมดตัวเลยทีเดียว เพราะสินค้าบนเรือเป็นสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของตนในชาติภพนี้เป็นอย่างมาก ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เมตตาส่งเรือสินค้ามาให้ถึงที่นี่

พ่อครัวของทางพรรคเอ่ยถามเรื่องเครื่องปรุงที่เขาไม่เคยพบเห็นหรือใช้มันมาก่อน เย่วซินก็เอ่ยบอกว่าซื้อมาจากท่าเรือและลองให้เขาชิมรสชาติดู พ่อครัวดูสนใจการเรียนรู้ในครั้งนี้เป็นอย่างมาก เย่วซินจึงมอบเครื่องปรุงเอาไว้ให้เขาและอธิบายอย่างละเอียดว่าแต่ละอย่างสามารถเอาไว้ใช้ทำอะไรได้บ้าง พ่อครัวกลัวจะจำไม่ได้จึงหยิบกระดาษขึ้นมาจดรายละเอียดนับว่าใส่ใจไม่น้อย

เย่วซินจัดจานอาหารเมนูปลาชุบเกล็ดขนมปังกับมันเทศทอดกินกับซอสมะเขือเทศและมายองเนสได้อย่างสวยงามและแปลกตา ยังมีจานสลัดครีมผลไม้รวมที่คลุกเคล้าเข้ากันแล้วอีกหนึ่งจานเอาไว้กินแก้เลี่ยน ตบท้ายด้วยมันต้มน้ำขิงร้อนๆ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็สั่งให้บ่าวหน้าห้องยกไปวางที่โถงอาหารเพราะตอนนี้ได้เวลาอาหารแล้ว

บ่าวที่ยกสำรับไปนั้นมองอาหารที่อยู่ในมือพร้อมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ มันช่างหมอกรุ่นยั่วน้ำลายยิ่งนักแต่ตนก็ได้แต่มองเท่านั้นและนั่นก็ถือว่าเป็นบุญมากนักแล้ว

จ้าวไท่เหว่ยเมื่อถึงเวลามื้ออาหารก็เดินมายังโถงเห็นบ่าวรับใช้กำลังยกเข้ามาพอดี อาหารวันนี้ดูแปลกตาเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน ต้องเป็นฝีมือของคนตัวเล็กอย่างแน่นอน สมแล้วที่นางเป็นผู้ดูแลกิจการเหลาอาหาร

เย่วซินเดินตามเข้ามาภายในโถงอาหารเห็นประมุขจ้าวนั่งมองอาหารอยู่ไม่วางตาก็รีบเอ่ยทักทันที “ท่านประมุขอาหารวันนี้ข้าปรุงสุดฝีมือเลยนะเจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างสดใสไปให้คนร่างสูง

“เจ้าเองมากว่ากระมังที่จะหิว” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ย

“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะข้าอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตต้องกินมากหน่อย” เย่วซินยอมรับอย่างไม่อายเพราะเรื่องกินเย่วซินไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตเป็นเรื่องจริงอายุสิบห้าย่างสิบหกต้องบำรุง เนื้อ นม ไข่ หน้าอกหน้าใจจะได้มีเยอะๆตอนนี้ยังน้อยไปหน่อย

“อืม..ก็จริง ตอนนี้เจ้าตัวเล็กยิ่งนักกินเยอะๆจะได้โตไวๆ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกคนตัวเล็ก ที่ตอนนี้แม้นางจะอายุพ้นสิบห้ามาแล้วและออกเรือนได้แล้ว แต่ในสายตาของเขานางยังเด็กเกินไปต้องอีกสักปีหรือสองปีนางคงจะเติบโตเป็นสาวงามที่สวยกว่านี้เป็นแน่ จ้าวไท่เหว่ยคิดในใจพลางยกยิ้ม

หลังมื้ออาหารเรียบร้อยจ้าวไท่เหว่ยก็เดินยืดเส้นยืดสายภายในสวนด้านข้าง โดยมีสาวใช้จำเป็นตัวน้อยเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง ช่างเป็นภาพที่ดูแล้วมีความสุขไม่น้อย

“บิดาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามทั้งที่ยังเดินเอามือไพร่หลังไม่ได้หันกลับมามองคนตัวเล็ก

“ตอนนี้ท่านคงจำเรื่องราวได้บางอย่างแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย” เย่วซินเอ่ยตอบ

“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไปหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามคนตัวเล็ก

“ช่วงนี้ข้าคงต้องรบกวนท่านประมุขสักระยะหนึ่งถ้าท่านพ่อหายดีแล้วข้าคงต้องพาท่านไปอยู่ที่อื่น” เย่วซินเอ่ย เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเพียงมาอาศัยเขาเท่านั้น ถ้าหายแล้วคงต้องออกไปอยู่ที่อื่นคงไม่รบกวนเขาอีกต่อไปเพียงแค่นี้ก็เกรงใจและชดใช้ไม่หมดแล้ว

จ้าวไท่เหว่ยได้ยินว่าจะไปอยู่ที่อื่นพลันในใจของเขาก็วูบโหวงแปลกประหลาด เขาไม่อยากให้นางจากไป “อยู่ที่นี่ข้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เจ้าอยากอยู่ข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก”

“โอ้ว..ท่านประมุขใจดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ แถมยังหล่อเหลามากอีกด้วย” เย่วซินเอ่ยหยอกเย้าคนร่างสูงตรงหน้าเล็กน้อย จะว่าไปแล้วทำไมประมุขจ้าวต้องย้ายมาอยู่ที่นี่คนเดียวด้วยและพ่อ แม่ พี่ น้อง ของเขาไปไหนกันหมด เย่วซินคิดสงสัยอยู่ภายในใจโดยไม่ได้เอ่ยถาม

“ปากเจ้าช่างประจบเช่นนี้นี่เอง คนในครอบครัวของเจ้าถึงได้รักใคร่ยิ่งนัก” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเหน็บแนมคนตัวเล็กปากหวานช่างประจบ เมื่อนึกถึงปากภาพเมื่อตอนที่เขาช่วยชีวิตนางใต้น้ำก็ผุดขึ้นมา ปากนางก็หวานจริงๆ...

“แล้วท่านประมุขรักข้าหรือยังเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยถามโดยที่ไม่ทันยั้งคิดเพราะเจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อย เมื่อมาคิดได้ว่าคำถามของตนเองกำกวมเกินไปก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างสูงตรงหน้าชะงักเท้าทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน