คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 92

สรุปบท บทที่ 92 กวนลู่ซือมาหาคนรัก: คู่แฝดคู่ป่วน

บทที่ 92 กวนลู่ซือมาหาคนรัก – ตอนที่ต้องอ่านของ คู่แฝดคู่ป่วน

ตอนนี้ของ คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 92 กวนลู่ซือมาหาคนรัก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

จ้าวไท่เฟยไม่ปล่อยให้ความสงสัยทรมานความคิดของตนจึงก้าวเท้าตรงเข้ามาทางด้านของสตรีร่างเล็กที่กำลังเพลิดเพลินกับการทำอาหารอยู่โดยไม่รับรู้เลยว่าตนเดินเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงตัวอยู่แล้ว

เย่วซินกำลังตั้งใจหั่นหัวหอมใหญ่เพื่อนำมาทำอาหารจานสุดท้ายคือเมนูซุปหัวหอมใหญ่ใส่กระดูกซี่โคลงหมูเมนูนี้จะตุ๋นเอาไว้กินตอนมื้อค่ำ ส่วนอาหารมื้อกลางวันทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้ยังคงเป็นอาหารจานเดียวอยู่ คือเมนูข้าวผัดต้มยำทะเลที่ดัดแปลงรสชาติให้กลมกล่อมเข้ากับยุคโบราณที่ไม่ชอบกินเผ็ดอย่างประมุขจ้าว

                                                                                                                               

เย่วซินสังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งวูบไหวอยู่ทางหลังของตนเองจึงคิดว่าเป็นประมุขจ้าวที่เข้ามาก่อกวนเพราะเมื่อวานนี้เขาก็เข้าเช่นกัน ความคิดที่จะกลั้นแกล้งจึงแล่นเข้ามาในหัวอย่างทันท่วงที เย่วซินหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือที่จับหัวหอมป้ายไปยังดวงตาทั้งสองของคนร่างสูงทันที แต่...ผิดคาดไม่ใช่ประมุขจ้าวจะยั้งมือตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว

“โอ๊ย...แสบตา!!” จ้าวไท่เฟยร้องเสียงดังลั่นเพราะแสบที่ดวงตาจนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด นางขยี้ตาแต่มันก็ไม่หายแสบพลางร้องบอก “ช่วยข้าด้วยข้าแสบตามาก”

เย่วซินมัวแต่ตกใจแต่เมื่อได้สติก็รีบนำน้ำสะอาดมาให้สตรีตรงหน้าล้างตา “ลืมตาในน้ำอาจจะช่วยบรรเทาได้บ้าง”

จ้าวไท่เฟยรับถ้วยน้ำสะอาดมาจากมือของคนที่ทำร้ายนาง จากนั้นก็ยอมทำตามแต่โดยดีพลางเอ่ยว่า “เจ้าทำร้ายข้าทำด้วยเหตุใดหรือ?”

“ข้าขอโทษข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเจ้า ข้าคิดว่าเป็นท่านประมุขจ้าวต่างหาก” เย่วซินเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดที่ทำร้ายผู้อื่น

 “นี่เจ้าจะทำร้ายพี่ชายของข้าหรือ?” จ้าวไท่เฟยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการโกรธแค้นแทนพี่ชายของตนเอง นางต้องแก้แค้นที่ทำร้ายนางและยังคิดทำร้ายพี่ชายอีกด้วย คิดได้เช่นนั้นมือเรียวเล็กของจ้าวไท่เฟยก็คว้าเข้ากับหัวหอมที่ถูกหั่นเอาไว้แล้วบีบขยำ จากนั้นก็ป้ายเข้าที่ดวงตาทั้งสองข้างของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าทันที

“โอ๊ย...เจ้าเอาคืนข้าหรือ?” เย่วซินร้องเสียงดังเมื่อโดนพิษความแสบของหอมหัวใหญ่เล่นงาน แล้วเอ่ยถามสตรีตรงหน้านางบอกว่าประมุขจ้าวคือพี่ชายแสดงว่านางคงเป็นน้องสาวของประมุขจ้าวอย่างแน่นอน

“เจ้าสมควรโดนแล้วจะได้รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไรคราวหลังจะได้ไม่คิดกลั่นแกล้งพี่ชายของข้าอีก” จ้าวไท่เฟยเอ่ยสั่งสอนสตรีตรงหน้าพลางใช้มือของตนยกถ้วยที่ใส่น้ำสะอาดล้างดวงตาของตนสลับกันไปมาทั้งสองข้างแต่ก็ยังไม่หายแสบ

“ข้ารู้ดีว่ามันรู้สึกอย่างไรมันแค่แสบตาเพียงเท่านั้นไม่ถึงกับตายเสียหน่อย” เย่วซินเอ่ยพลางใช้มือคลำหาถ้วยเอาใส่มาน้ำเพื่อล้างดวงตาของตนเองบ้าง

ทั้งสองคนต่างนั่งหันหลังให้กันอยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งถือถ้วยน้ำสะอาดเพื่อล้างดวงตาอีกมือหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่เอ่อไหลไม่ยอมหยุด

ทางด้านจ้าวไท่เหว่ยหลังจากที่น้องสาวของตนเดินออกไปแล้วก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก ลู่ซือเห็นว่าอดีตคนรักไม่สนใจตนเองไม่แม้แต่จะเอ่ยถามก็พลันให้หดหู่ใจนางก้มหน้าด้วยใบหน้าที่เศร้าสลด

จ้าวไท่เหว่ยละสายตาจากงานตรงหน้าแล้วเหลือบสายตามองร่างบางของลู่ซือ เขาคงต้องพูดกับนางให้เข้าใจไม่เช่นนั้นนางก็จะคิดว่าเขายังโกรธนางอยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยออกไป

“ลู่ซือข้าจะไม่เอ่ยวาจาอ้อมค้อมเรื่องระหว่างเราคงกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้”

“พี่ไท่เหว่ยหมายความว่าอย่างไรพี่รังเกียจข้าเช่นนั้นหรือ?” ลู่ซือที่มีใบหน้าเศร้าสลดอยู่ก่อนแล้วเมื่อได้ยินอดีตคนรักเอ่ยออกมาเช่นนั้นนางก็ยิ่งเสียใจจนหยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้ม

“เจ้าเข้าใจผิดแล้วข้าไม่ได้รังเกียจเจ้าเลยสักนิดเดียวและข้าก็ยังหวังดีกับเจ้าเช่นเดิมเพียงแต่ข้าไม่ได้รักเจ้าแบบคนรัก” จ้าวไท่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลคล้ายปลอบใจร่างบางตรงหน้าที่มีน้ำตาเอ่อใหลไม่หยุด

ลู่ซือเป็นสตรีที่อ่อนหวานน่ารักช่างเอาอกเอาใจผู้ใดอยู่ใกล้ย่อมรักใคร่ได้ไม่ยาก เขาและนางรู้จักกันตอนนั้นเขาอายุราวสิบห้าปีส่วนนางอายุเพียงแค่แปดปีเพียงเท่านั้น ท่านปู่ของนางและท่านตาของเขาเป็นสหายรักกันท่านทั้งสองไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ส่วนนางก็ติดตามท่านปู่มาเล่นที่พรรคอินทรีย์แห่งนี้เป็นประจำ

นางชอบเดินตามเขาต้อยๆไม่ห่างปากเล็กๆของนางก็ถามนั้นถามนี่ไม่หยุดหย่อน นานวันเข้าเขาและนางก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆจนเขาคิดว่ามันคือความรัก แต่เมื่อไม่นานมานี้ที่ได้รู้จักกับสตรีนางหนึ่งจึงได้รู้ว่าความรู้สึกที่เขามีให้กับกวนลู่ซือนั้นมันไม่ใช่ความรักแต่มันคือความผูกพันที่พวกเราสนิทสนมกันมานานเพียงเท่านั้น

“พี่หมายความว่าอย่างไรตลอดเวลาหลายปีพี่ไม่เคยรักข้าเลยหรือ?พี่หลอกลวงข้ามาตลอดเลยเช่นนั้นหรือ?” กวนลู่ซือยังไม่ยอมเข้าใจในสิ่งที่อดีตคนรักเอ่ย เขาไม่เคยรักนางได้อย่างไรกันในเมื่ออดีตเขายังเคยบอกว่ารักนางอยู่เลย

จ้าวไท่เหว่ยเริ่มมีริ้วรอยแห่งความเครียดเส้นเลือดที่ขมับเริ่มปูดนูนขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของลู่ซือ นางก็ยังคงเป็นสตรีที่เอาแต่ใจเช่นเดิมไม่ยอมรับรู้ในสิ่งที่นางไม่อยากรู้นั่นคือนิสัยอีกด้านหนึ่งของนาง

“เจ้าเคยบอกข้าว่าความรักที่พวกเรามีให้กันนั้นมันความรักที่บริสุทธิ์ไม่ใช่ความรักแบบชายหญิงเจ้าจึงทิ้งข้าไปอย่างไรเล่า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยย้ำความทรงจำให้ลู่ซือได้คิดตาม

“ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ใจตัวเองว่าข้ารักท่านแบบใด อีกอย่างทางผู้ใหญ่ก็เป็นคนจัดการเรื่องหมั้นหมายข้าไม่มีทางเลือก แต่หลังจากวันนั้นที่ข้าเอ่ยเช่นนั้นกับท่านข้าก็เสียใจและไม่มีความสุขอีกเลยจึงหาทางถอนหมั้นเพื่อที่ข้าจะกลับมาหาท่านอย่างไรเล่า” กวนลู่ซือเอ่ยความในใจของตนเองให้อดีตคนรักได้ฟัง แต่อาจจะบิดเบือนความจริงเล็กน้อยเรื่องที่ว่าทางผู้ใหญ่เป็นคนจัดแจงเรื่องการหมั้นหมาย แท้จริงแล้วเป็นนางเองที่อยากจะเป็นคนหมั้นเพราะนางหลงลมปากหวานๆของบุรุษที่มาเกี้ยวพาต่างหาก

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน” จ้าวไท่เหว่ยยังเอ่ยคำเดิมและก้าวเท้าของตนเองเดินเข้ามาด้านในและเมื่อเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าพวกนางมีบางอย่างผิดปกติ นั่นคือดวงตาของพวกนางทั้งสองข้างมันแดงและบวมมากก็ตกใจและเอ่ยถามต่อ “ทำไมพวกเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้กัน”

“นางเอาหัวหอมป้ายตาข้า นางนึกว่าข้าคือท่านข้ารับเคราะห์แทนท่านเลยนะพี่ใหญ่” ไท่เฟยเอ่ยเล่าเรื่องราวตามความเป็นจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น

เย่วซินถลึงตาใส่คนตรงหน้าที่ช่างฟ้อง ส่วนจ้าวไท่เหว่ยเมื่อฟังเรื่องราวก็พอเข้าใจได้แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมเย่วซินถึงได้มีสภาพไม่ต่างกันไม่รอให้ความสงสัยอยู่นานจึงเอ่ยถามทันที

“แล้วเหตุใดนางถึงได้เป็นเช่นนั้น”

“ข้าเอาคืนนางอย่างไรเล่าถามได้ ข้าไม่ยอมเจ็บตัวคนเดียวหรอก...โอ๊ย” ไท่เฟยร้องออกมาเสียงดังทันทีที่เอ่ยจบเพราะโดนมือใหญ่ของพี่ชายเขกลงมาที่กลางหัวกบาลแบบไม่ยั้งนางจึงร้องถามถึงเหตุผลที่โดน

“พี่ใหญ่ท่านเขกหัวข้าทำไม?” เอ่ยพร้อมกับยกมือคลำศีรษะของตัวเองเพราะความเจ็บปวด

“ไม่มีเหตุผล!” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยตอบ จะไม่มีเหตุผลได้อย่างไรเล่ามันมีแน่ ๆ แต่เขาไม่อาจเอ่ยออกไปได้เกรงว่าจะเป็นการลำเอียง

“เอาล่ะ ๆ ท่านก็อย่าดุนางนักเลย” กวนลู่ซือเดินเข้ามาโอบบ่าของจ้าวไท่เฟยที่นั่งทำหน้าง้ำเพราะโดนพี่ชายของนางทำโทษ

  “ใช่ ท่านอย่าดุนางเลยข้าเองที่เป็นคนทำร้ายนางก่อนนางเอาคืนก็ถือว่าหายกันแล้ว” เย่วซินเอ่ยสมทบอีกเสียงด้วยรู้สึกสงสารไท่เฟยที่โดนพี่ชายลงโทษ นางคงจะเจ็บไม่น้อยเพราะตนนั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเสียงชัดเจนเลย

“ใช่ข้าและเย่วซินเราตกลงกันได้แล้วและพวกเราก็เข้าใจกันดีแล้วด้วย” ไท่เฟยเอ่ยพร้อมเสร็จก็สะบัดหน้าหนีเพื่อจะสื่อสารให้พี่ชายรู้ว่านางกำลังงอนเขา

“เช่นนั้นก็ดี แต่ข้าเขกหัวเจ้าไปแล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงอ่อนลงเมื่อรู้ตัวว่าตนเองใจร้อนเกินไปหน่อย ก็เพราะน้องสาวของเขานางชอบซุกซนและชอบก่อเรื่องวุ่นวายอยู่เรื่อยจนท่านแม่ปวดหัวไม่เว้นวัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน