เมิ่งหย่งชวนสังเกตุภรรยาของเขาคนนี้ดูมีกาลเทศะและมีความรู้มากกว่าข่าวที่เขาได้รับเสียอีก ข่าวที่ได้ยินคือนางหยาบคายไร้มารยาทสกปรกไม่ชอบอาบน้ำ ดูเหมือนเรื่องที่ไม่ชอบอาบน้ำจะเป็นเรื่องจริง สกปรกเหลือทน
เมื่อจ่ายเงินก็รับยาเรียบร้อย เมิ่งลู่เจินนั่งรอทั้งสองคนอยู่เงียบๆ เป็นเด็กรู้ความยิ่งนัก เสิ่นเยี่ยนฟางเห็นเขามองไปยังกลุ่มเด็กวัยเดียวกันที่ใส่ชุดของสำนักศึกษาจึงเดินเข้าไปหาก่อนจะแตะบ่าผอมแห้งนั่น
"อาเจิน อย่าห่วงเลยพี่สะใภ้จะหาเงินส่งให้เจ้าได้เข้าเรียน ตอนนี้เจ้าก็ฝึกกับพี่ชายเจ้าไปก่อนนะ"
"ข้าไม่เรียนหรอกขอรับพี่สะใภ้ พี่ใหญ่ตั้งใจเรียนเพื่อสอบเป็นขุนนางยอมลำบากเพื่อให้พวกเรามีกิน เงินเดือนซิ่วไฉนั่นท่านปู่กับท่านย่าก็อ้างความกตัญญูยึดไปหมด พี่ชายข้าได้กินเพียงน้ำข้าวใสๆ ตอนที่ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่พวกเรามีชีวิตที่ดีกว่านี้ขอรับ"
เด็กชายเอ่ยไปพร้อมน้ำตาที่คลอหน่วย เขาไม่อยากเรียนหรอก เขาจะรับจ้างทำงานส่งให้พี่ใหญ่ได้เรียนสูงๆเพื่อสอบขุนนาง จะได้ไม่ถูกคนรังแกเช่นทุกวันนี้ เสิ่นเยี่ยนฟางถอนหายใจ เวลานี้พูดไปก็เท่านั้น ต้องทำให้เห็นว่านางทำได้ก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ต้องไปหาซื้อเสื้อผ้า ที่นอนกับเสบียงก่อน บ้านเมิ่งนั่นช่างใจร้ายกับลูกหลานจริงๆ ข้าวสักเม็ดก็ไม่ให้กิน ร่างเดิมคงทั้งหิวทั้งเป็นไข้เลยจากไป เสิ่นเยี่ยนฟางจุงมือเมิ่งลู่เจินออกจากร้านหมอจากนั้นก็พาไปกินบะหมี่ เมิ่งหย่งชวนไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เขาเป็นสามีที่ป่วยนางกลับไม่สนใจ แต่ไปจับมือถือแขนกับน้องชายเขาใช้ได้ที่ไหนกัน จึงเอ่ยเสีเข้ม
"อาเจินเจ้าโตแล้ว เดินจับมือสตรีมิสมควรอีกทั้งนางยังเป็นพี่สะใภ้เจ้าด้วย"
หืม ไอ้เด็กบ้านี่น้องชายนายอายุเท่าไหร่กันเชียวแหม่เว้ยเฮ้ย เมิ่งลู่เจินปล่อยมือพี่สะใภ้ทันทีด้วยท่ามางสำนึกผิด เสิ่นเยี่ยนฟางหมันใส้เขาจึงไม่สนใจนั่งลงแล้วหันไปสั่งบะหมี่แทน
"เถ้าแก่ขอบะหมี่น้ำสองชามใส่ไข่ด้วย ส่วนอีกชามขอเนื้อน้อยๆผักเยอะๆเจ้าค่ะ"
"อ้อๆๆ แต่แม่นางน้อยผักสดหายากเต็มที ตอนนี้อากาสร้อนอยู่อีกครึ่งเดือนกว่าจะฝนตก เพาะปลูกไม่คอยดีนัก"
"อ้อ งั้นท่านทำมาเถอะ เนื้อไม่ต้องเยอะเท่าไหร่ ส่วนของสามีข้ากับน้องชายเพิ่มเนื้อสักหน่อยนะเจ้าคะ"
เจ้าของร้านหันไปทำบะหมี่ เสิ่นเยี่ยนฟางกำลังนั่งวิเคราะห์ ยุคโบราณนี่ไร้มลพิษอากาสดี แต่ผู้คนความรู้น้อย มีแค่คนเรียนหนังสือเท่านั้นที่มีความรู้รู้กว้างขวาง
ปลูกผักหรือ ต้องไปดูที่ดินของเมิ่งหย่งชวนก่อนว่าปลูกพืชชนิดใดได้บ้าง จากนั้นก็เอ่ยกับเมิ่งหย่งชวน
"นี่ตาทึ่ม ข้าจะไปซื้อเสบียงกับผ้าห่ม เจ้าสองคนเสื้อผ้าก็ขาดเก่าจนเปื่อยหมดแล้วซื้อคนละสามชุดเถอะ"
"เจ้า เรียกสามีตัวเองดีๆไม่ได้หรืออย่างไร วาจาเช่นนี้สตรีที่ไหนใช้เรียกสามีกันเสิ่นเยี่ยนฟาง ช่างเป็นพวกสตรีผมยาวสายตาตื้นเขินจริงๆ"
ทั้งสามไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ตั้งใจกินบะหมี่ตรงหน้าอย่าอร่อย หากถามว่าอร่อยไหมสำหรับเสิ่นเยี่ยนฟางแน่นอนว่าสู้ยุคที่นางจากมาไม่ได้ แต่ว่าอย่างไรเล่า มีให้กินก็ดีแล้ว สองพี่น้องที่ไม่ได้กินเนื้อมานานก็กินจนเกลี้ยง
"ข้าต้องรักษาตัวอีกเกือบปีท่านหมอบอก จะอาศัยช่วงที่ไม่ได้ไปเรียนขึ้นเขาล่าสัตว์ก็แล้วกัน เจ้าก็อยู่บ้านดูแลความเรียบร้อยให้ดี สกปรกมากๆระวังข้าจะหย่าเจ้า"
"นี่ๆๆๆ ข้าอ้อนวอนเจ้าตายล่ะอยากหย่าก็เขียนมาเลยไม่ต้องมาขู่ หึ หากดีแต่ปากอย่าทำขอร้อง"
เมิ่งลู่เจินมองหน้าพี่ชายกับพี่สะใภ้แล้วก็กลั้นน้ำตา พวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว พี่ใหญ่ท่านต้องการคนดูแลนะ เหตุใดไล่นางไปเล่า เสิ่นเยี่ยนฟางเห้นน้องสามีก้มหน้าก้เลิกต่อปากต่อคำทันทีก่อนจะหันไปหาเมิ่งหย่งชวน
"ต่อไปห้ามเจ้าชวนข้าทะเลาะต่อหน้าเด็กอีก ไปได้แล้วข้าจะไปหาซื้อของ เสร็จแล้วพวกเจ้าก็รอข้าที่เกวียน ข้าจะไปร้านเหล็กดูเครื่องมือเกษตร"
เสิ่นเยี่ยนฟางจ่ายค่าบะหมี่เรียบร้อย บะหมี่ใส่ไข่สองชามยี่สิบอีแปะ ของนางไม่มีไข่เจ็ดอีแปะค่าแรงที่นี่วันละห้าสิบอีแปะ เฮ้อกินบะหมี่ก็เหลือนิดเดียวแล้ว ต้องหาเงินให้มากๆ ไม่ไหวทำกินเองดีที่สุด สิบอีแปะแต่รสชาติไม่ผ่านโปรอย่างแรง
ทั้งสามคนเดินมาถึงร้านขายผ้า จากความทรงจำเด็กคนนี้เย็บปักถักร้อยเก่งพอควร แต่ถ้าให้นางมานั่งทำไม่เอาดีกว่า เสิ่นเยี่ยนฟางเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ตัดสำเร็จแทน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลิขิตกาลบันดาลรัก