เห้อซูหานทำตามคำสั่งของจิ้นเฟิงเฉิน นำคนของตัวเองไปจัดวางรักษาการอยู่ละแวกใกล้ๆ กับสถาบันวิจัยหลายแห่งของเบอร์แกน
พวกเขากำลังหาเวลาที่เหมาะสมที่จะบุกเข้าไป
ครั้งนี้จำเป็นจะต้องเอาผลการวิจัยไวรัสฉบับล่าสุดออกมาให้ได้
หลังจากสังเกตมาหลายวัน คนของเห้อซูหานก็สังเกตพบสิ่งผิดปกติ
“คุณเห้อครับ ผมสังเกตพบว่าศาสตราจารย์คูรี่คนนั้นไม่ได้เข้าหรือออกจากสถาบันวิจัยเหล่านี้เลยครับ จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยเหล่านี้?”
“พวกนายแน่ใจนะว่าไม่เห็นตัวคนเลย?” เห้อซูหานถาม
“แน่ใจครับ พวกเราจับตาดูสถาบันวิจัยทุกแห่งอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้แต่แมลงวันบินเข้าไปเมื่อไหร่ยังรู้เลยครับ”
เห้อซูหานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พวกนายจับตาดูต่อไป ฉันจะรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้คุณชายรับทราบก่อน ดูว่าเขาจะว่ายังไงบ้าง”
“ครับ” ลูกน้องรีบเดินออกไป
เห้อซูหานขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาจิ้นเฟิงเฉิน
ทางด้านจิ้นเฟิงเฉินเพิ่งจะมาถึงเมืองจิ่น กลับมาที่บ้านตระกูลจิ้น
เมื่อเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามาปรากฏบนหน้าจอ เขาก็รับสายทันที “ซูหาน”
เสียงเคร่งขรึมของจิ้นเฟิงเฉินดังสะท้อนกลับมา เห้อซูหานรีบรายงานสถานการณ์ให้เขาฟัง
“คุณชาย พวกเราพบว่าศาสตราจารย์คูรี่ไม่ได้ปรากฏตัวที่สถาบันวิจัยเหล่านี้เลยครับ”
ศาสตราจารย์คูรี่เป็นบุคลากรแกนหลักของทีมวิจัยของเบอร์เกน เขามีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ในการวิจัยไวรัส ตลอดจนยาทำลายไวรัส
“ยังมีสถาบันวิจัยอื่นอีกไหม?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
“ตอนนี้ยังไม่พบครับ แต่ก็ไม่สามารถตัดทิ้งได้เลยเสียทีเดียว” เห้อซูหานตอบตามความจริง
จิ้นเฟิงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็สืบต่อไป ตอนนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไร เลี่ยงอย่างแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
“ถ้ามีเรื่องอะไรรีบบอกฉันให้เร็วที่สุด”
“ครับ”
จิ้นเฟิงเฉินวางสายโทรศัพท์ จมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยแอบเข้าไปในสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งของเบอร์เกน แต่ก็ได้มาเพียงผลการวิจัยโครงสร้างของไวรัสเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น เนื้อหาการวิจัยของแต่ละสถาบันวิจัยคงจะแตกต่างกัน
และศาสตราจารย์คูรี่มีหน้าที่รับผิดชอบค้นคว้ายาต้านไวรัส
นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สันนิษฐานว่าเบอร์เกนคงได้เตรียมการป้องกันทั้งหมดเอาไว้นานแล้ว
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ จู่ๆ จิ้นเฟิงเฉินก็นึกถึงฝู้จิงเหวินขึ้นมา
ผู้ชายคนนั้นเพื่อสื้อสื้อแล้ว เขาลงทุนเข้าร่วมทีมวิจัยของเบอร์เกนด้วยตัวเอง แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วก็ไม่ได้ติดต่อมาหาสื้อสื้ออีกเลย คงจะยังไม่พบผลลัพธ์อะไรเลย
จิ้นเฟิงเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหันตัวเดินออกจากห้องหนังสือไป
…
เมื่อแม่จิ้นที่เล่นอยู่กับเด็กๆ ในห้องรับแขกเห็นจิ้นเฟิงเฉินเดินลงมาชั้นล่าง จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เฟิงเฉิน ลูกจะออกไปข้างนอกเหรอ?”
“แด๊ดดี้!”
ทันทีที่เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนทั้งสองคนเห็นเขา ก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างมีดีอกดีใจ
“แด๊ดดี้กลับบ้านแล้ว แล้วหม่ามี๊ล่ะ?” เถียนเถียนกอดขาเขาไว้ เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงเยาว์วัย
จิ้นเฟิงเฉินย่อตัวลง พูดตอบเสียงอ่อน “หม่ามี๊ยังอยู่กับคุณยายอยู่ อีกสามสี่วันถึงจะกลับมา”
“อ้อ” เถียนเถียนทำปากจู๋ขึ้นมาอย่างผิดหวัง
จิ้นเฟิงเฉินลูบศีรษะของเธอยิ้มๆ แล้วพูดกับเสี่ยวเป่าว่า “พาน้องไปเล่นไป”
“ครับ”
เสี่ยวเป่าพาเถียนเถียนออกไปเล่นอย่างเชื่อฟัง
แม่จิ้นเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าของเขา ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันพลางเอ่ยถามอย่างปวดใจ “ทำไมไม่พักผ่อนอีกสักหน่อยล่ะ?”
“มีเรื่องที่บริษัทครับ” เมื่อจิ้นเฟิงเฉินเห็นใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความกังวล พลางพูดปลอบโยนเธอเสียงแผ่ว “แม่ ผมไม่เป็นไรครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดินทางระวังๆ นะ” แม่จิ้นรู้ดีว่าเขาจริงจังกับการงานของเขามาก จึงไม่ได้รั้งเขาต่อ
จิ้นเฟิงเฉินตอบ ‘ครับ’ รับคำแล้วเดินออกประตูไปทันที
เมื่อเขามาถึงที่จิ้นกรุ๊ป เขาก็ตรงไปที่ห้องทำงานของจิ้นเฟิงเหราทันที
“พี่ ทำไมถึงกลับมากะทันหันแบบนี้ล่ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!