บทที่ 11 วางแพลนใหม่
มันเป็นผลงานชิ้นเอกของใคร แค่ดูก็รู้แล้ว
เพียงแต่แค่วิธีการของมัน สกปรกเกินไปจริงๆ
หลังจากที่เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว ก็มองทะลุปรุโปร่งในทันที แต่เธอไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร
ในทางกลับกัน เธอกลับดีใจด้วยซ้ำ
เพราะถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็จะมีอำนาจในการดูแลรับผิดชอบงานเลี้ยงวันเกิดของเสี่ยวเป่าได้อย่างเต็มที่
เจ้าหนูน้อยคนนั้นน่ารักน่าเอ็นดูมาก ถึงกับขนาดที่ทำให้คนรอบข้างอยากที่จะมอบสิ่งของที่ดีที่สุดในโลกนี้ให้กับเขา ดังนั้นเธอก็เลยอยากจะจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่สุดแสนจะประทับใจและตราตรึงนี้ให้กับเขา
ไม่มีเอกสารข้อมูลแล้ว เธอก็ต้องรวบรวมใหม่
ระเบียบแพลนต่างๆถูกทำลาย เธอก็ร่างขึ้นมาใหม่
วันเกิดของเสี่ยวเป่า จะต้องพิเศษไม่เหมือนใคร!
เหอหลินไม่ได้รู้สิ่งที่เจียงสื้อสื้อกำลังคิดอยู่เลยสักนิด พอเห็นระเบียบแผนการที่ถูกฉีกขาดกองนั้นแล้ว ก็พูดขึ้นด้วยความโกรธเป็นเดือดเป็นร้อนแทน “เหยนอี่เฟยนอกจากความสามารถในการทำงานแล้ว ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีข้อดีตรงไหนอีกเลย ลำไส้เล็กกว่าไก่เสียอีก ทำอะไรคิดตื้นๆไม่สนคนอื่น เล่นวิธีสกปรกๆกับคุณ”
“ก็นั่นน่ะสิ ถ้าจะโทษก็โทษปากเสียๆของเธอเอง ไปด่าทายาทว่าเป็นลูกนอกคอก เลยมีจุดจบแบบนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะตัวเองทั้งนั้น”
“แถมพวกระเบียบแพลนพวกนี้ ถึงยังไงพวกเราก็อุส่าร่วมแรงร่วมใจไปไม่น้อยในการทำมัน แต่เธอนี่สิ กลับทำลายมันลงไปในชั่วพริบตา……”
“……”
ผู้คนที่เหลืออยู่ก็ต่างเริ่มพูดแสดงความเห็นกันจอแจวุ่นวาย ล้วนแต่เป็นการแสดงความไม่พอใจทั้งสิ้น
เจียงสื้อสื้อรีบพูดปลอบใจ “ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ข้อมูลเอกสารไม่มีแล้วก็ค่อยรวบรวมใหม่ ก่อนหน้านี้ฉันก็มีดูๆมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะนำกลับคืนมาได้มากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ฉันรู้สึกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องทำตามแพลนก่อนหน้านี้ก็ได้นะ พูดกันตามตรงแบบไม่ปกปิดเลยแล้วกัน สองวันนี้ฉันได้ไปพบกับ…...คุณชายน้อยมา ฉันรู้สึกว่ารายละเอียดยิบย่อยในต้นฉบับของแพลนพวกนั้น สามารถเอามาปรับเปลี่ยนอีกสักหน่อยได้ ทำให้งานฉลองวันเกิดนี่มันยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก ดังนั้น……ไม่ทราบว่าทุกคนจะยอมเชื่อใจและมาร่วมมือกับฉันกันไหม?”
“แหม พูดอะไรไร้สาระ ต่อให้ไม่เชื่อใจ พวกเราก็ต้องร่วมมือกับคุณอยู่ดี ตอนนี้คุณเป็นถึงประธานผู้รับผิดชอบ หน้าที่ของพวกเราก็คือให้ความร่วมกับคุณอยู่แล้ว”
เหอหลินพูดหยอกล้ออย่างยิ้มๆ แสดงถึงความเต็มใจทำอย่างชัดเจน
คนอื่นๆก็พูดเสริมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน “สื้อสื้อโบนัสเดือนหน้าของพวกเราก็อยู่ที่การพิจารณาของคุณแล้วนะ”
“ฉันมีกระเป๋าที่เล็งจะซื้อไว้นานแล้ว ต้องฝากคุณด้วยแล้วล่ะ”
“ผมก็มีแหวนแต่งงานที่ต้องซื้อ ความสุขอีกครึ่งชีวิตหลังจากนี้ของผม ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ”
พอได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนรอบข้าง เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกใจเบิกบานขึ้นมา ความกระตือรือร้นในการทำงานเต็มเปี่ยม
…….
ในเวลานี้ ณ ห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายการวางแผน เหยนอี่เฟยท่าทางนิ่งขรึม สีหน้าอาการราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ
เสี่ยวอ้ายผู้ช่วยผู้จัดการยืนมองอยู่ข้างๆด้วยความตกใจกลัว ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเธอ
เหยนอี่เฟยโกรธจนกัดฟันกรอดๆ ใช้มือปัดเอกสารบนโต๊ะตกกระจายลงบนพื้น พร้อมกับพูดขึ้น “เจียงสื้อสื้อนังคนชั้นต่ำ! แกกล้าดียังไง……แกกล้าดียังไงมาแย่งโปรเจกต์งานของฉัน!”
โปรเจกต์นี้ เธอทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจกับมันไปไม่น้อย ถ้ามันสำเร็จล่ะก็ รางวัลพนักงานดีเด่นของบริษัท มันต้องตกเป็นของเธอแน่นอน
อีกทั้ง เธอก็จะมีโอกาสได้ไปประชุมงานที่ต่างประเทศ จากนี้ไปหน้าที่การงานของเธอจะต้องราบรื่นแล้วแท้ๆ
แต่ใครจะไปรู้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ จู่ๆก็ถูกเจียงสื้อสื้อนังคนชั้นต่ำนั่นทำลายจนย่อยยับ!
จะไม่ให้เธอโกรธได้ยังไง?
เสี่ยวอ้ายนิ่งไม่เปิดปากพูดอะไร แต่ก็แอบพูดกระแทกอยู่ในใจ ถ้าคุณรู้จักสงบปากสงบคำ มันก็คงไม่ลงเอยแบบนี้หรอก
เหยนอี่เฟยพอเห็นเธอเงียบอยู่แบบนี้ ก็พาลโกรธไปด้วย “เธอเองก็ตายแล้วหรือไง? ปกติแล้วปากเก่งปากดี แต่พอเข้าตาจน ดันเป็นใบ้อะไรขึ้นมา?”
เวลาประมาณสองทุ่ม เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะลืมอะไรสักอย่าง
ยังไม่ทันจะนึกออก ก็ได้ยินเสียงริงโทนมือถือดังขึ้นมาก่อน
เจียงสื้อสื้อหยิบมือถือขึ้นมาดู ที่หน้าจอมีเบอร์โทรหนึ่งเบอร์ปรากฏอยู่
หลังจากกดรับสาย ก็มีเสียงนุ่มนิ่มน่ารักของ เสี่ยวเป่าดังเข้ามาจากในสาย“น้าสื้อสื้อ ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านล่ะ?”
เจียงสื้อสื้อนึกขึ้นได้ทันที
ใช่แล้ว!
นัดกับเสี่ยวเป่าไว้แล้วว่าจะเจอกันตอนค่ำ แต่กลับยุ่งจนลืมไปเลย
เจียงสื้อสื้อรู้สึกผิดมาก รีบพูดขอโทษไปทันที“ขอโทษจริงๆนะ หนูน้อย คุณน้ายุ่งจนลืมไปเลย ตอนนี้หนูยังอยู่ที่ประตูบ้านใช่ไหม หนูรอน้าตรงนั้นสักประเดี๋ยวนะ น้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดพลางลุกขึ้นยืน กะที่จะเก็บข้าวของเตรียมจะกลับ
ไม่คิดว่า ในสายจะมีเสียงของอีกคนพูดขึ้นมาแทน “คุณอยู่ที่ไหน?”
เสียงทุ้มต่ำในลำคอ น้ำเสียงฟังดูแล้วให้อารมณ์เหมือนคนที่มีชาติตระกูลสูงส่งมาตั้งแต่กำเนิด แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกเย็นชาเลยสักนิด เป็นเสียงที่ไพเราะ
จิ้นเฟิงเฉินนั่นเอง!
เจียงสื้อสื้อตอบกลับโดยสัญชาตญาณ “ฉันยังอยู่บริษัทค่ะ”
จิ้นเฟิงเฉินตอบกลับ“อื้อ รออยู่”พอพูดเสร็จ ก็ไม่รอให้เจียงสื้อสื้อตอบ แล้วก็วางสายไปทันที
เจียงสื้อสื้อรู้สึกมึนงงไม่น้อย ไม่ค่อยเข้าใจคำว่า‘รออยู่’ของเขาหมายความว่ายังไง
เขา……กะที่จะมาด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!