เช้าวันต่อมา ตอนที่กินข้าวเช้า ซ่างหยิงต้องการถามหาคำตอบจากปากฟางยู่เชินอย่างอ้อมๆ
แต่ฟางยู่เชินนั้นคิดไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะถามยังไง เขาก็จะตอบด้วยคำตอบที่ค่อนข้างคลุมเครือ ทำให้ซ่างหยิงไม่สามารถรู้ได้ว่าตกลงเมื่อคืนได้ไปกับเหลียงซินเวยรึเปล่า
สุดท้าย ซ่างหยิงจึงต้องถามไปตรงๆ ว่า “เมื่อคืนแกอยู่กับเวยเวยใช่มั้ย?”
ฟางยู่เชินกินนมในแก้วหมดพอดี วางแก้วลง เหลือบตาขึ้นมามองแม่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “แม่ครับ ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ ผมจะไปอยู่กับใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของผม”
“ไม่ใช่อย่างนั้น จะบอกว่าฉันถามหน่อยยังไม่ได้เลยใช่มั้ย?” ซ่างหยิงเริ่มโมโหแล้ว
“ได้สิครับ” ฟางยู่เชินยืนขึ้น แล้วมองผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “แต่ผมก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบเหมือนกันครับ”
เขาดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ดปาก “ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
ไม่รอให้ผู้เป็นแม่ได้ทันตั้งตัว เขาก็เดินดุ่มๆ ออกไปแล้ว
ทำเอาซ่างหยิงโกรธเอามากๆ
“ลูกคนนี้นี่ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ?”
เจียงสื้อสื้อที่นั่งดูอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด รีบกลืนอาหารในปากลง แล้วพูดออกมาว่า “น้าสะใภ้เล็กคะ ที่พี่ชายพูดมามันก็ถูกนะคะ เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะมีเพื่อน น้าก็ควรคุมเขาให้น้อยลงหน่อยนะคะ”
“คุมเหรอ?” ซ่างหยิงหันหน้ามา แล้วพูดแย้งด้วยความโมโหว่า “ฉันแค่เป็นห่วงเขา ไม่ได้คุมสักหน่อย!”
เจียงสื้อสื้อแลบลิ้นออกมา แล้วพึมพำเบาๆ ว่า “แต่ในสายตาของพี่ชาย น้าก็กำลังคุมเขาอยู่นี่คะ”
ซ่างหยิงพูดไม่ออก เธอทิ้งตัวลงไปนั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“น้าสะใภ้เล็กคะ น้าอย่าโกรธสิคะ พี่ชายเขาโตขนาดนี้แล้ว เขาต้องรู้ว่าลิมิตของตัวเองอยู่แล้ว” เจียงสื้อสื้อพูดให้กำลังใจ
ซ่างหยิงทำเสียงฮึดฮัด “ฉันกลัวลิมิตของเขาจะกว้างเกินไป จนไม่รู้จะประมาณตนนะสิ”
เจียงสื้อสื้อกินนมไปคำหนึ่ง “เฮ้อ น้าจะเอาความคิดของตัวเองไปยัดใส่ในตัวพี่ชายไม่ได้นะคะ คนเรามันมีความรู้สึกที่สวนทางกับความคิดอยู่นะ สมมติถ้าพี่ชายกับเวยเวยเป็นแค่เพื่อนกันจริง แต่มาถูกน้าเข้มงวดใส่แบบนี้ เกิดเขามีความคิดที่อยากจีบเธอขึ้นมาจะทำยังไงคะ?”
พอซ่างหยิงได้ฟังแบบนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “จริงเหรอ มันเป็นแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ?”
“จริงสิคะ โดยเฉพาะคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองแบบพี่ชาย ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงเลยค่ะ”
เจียงสื้อสื้อไม่ได้จะทำให้เธอตกใจ แค่อยากเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เธอมากขึ้นเท่านั้น ถ้าต่อไปพี่ชายเกิดอยู่กับเวยเวยขึ้นมาจริงๆ เธอจะได้มีการเตรียมใจไว้บ้าง
“แล้วฉันควรทำยังไงดีล่ะ?” ซ่างหยิงถาม
“ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็นไงคะ”
“ปล่อยให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็นอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ไม่ว่าพี่ชายจะรู้สึกยังไงกับเวยเวย น้าแค่ตามใจเขาก็พอค่ะ”
“แล้วถ้าสองคนนั้นเกิดคบกันขึ้นมาจริงๆ ล่ะ?” ซ่างหยิงคิดๆ ดู “ไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด”
เจียงสื้อสื้อ “……”
อุตส่าห์ยกตัวอย่างสิ่งที่จะเกิดไปตั้งเยอะ ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเธอได้
“แล้วน้าคิดจะทำยังไงคะ?” เจียงสื้อสื้อถาม
ซ่างหยิงไตร่ตรองไปพักหนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า “ฉันต้องสร้างโอกาสให้ยู่เชินกับเสี่ยวอี้ได้รู้จักกันมากขึ้น ไม่แน่พี่ชายของเธออาจจะเห็นข้อดีในตัวเสี่ยวอี้ก็ได้”
เจียงสื้อสื้ออยากบอกว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะเดี๋ยวจะโดนหาว่าไปพูดขัดเธออีก
“หนูก็ได้แต่หวังว่าน้าสะใภ้เล็กจะสมหวังแล้วกันค่ะ”
เจียงสื้อสื้อตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว เพราะเรื่องของความรักก็ไม่ใช่สิ่งที่คนรอบข้างจะส่งผลอะไรอยู่แล้ว
……
หลังกินข้าวเช้าเสร็จ เจียงสื้อสื้อยืนขึ้นแล้วจะเดินออกจากห้องอาหาร ทันใดนั้น มือถือของซ่างหยิงก็ดังขึ้น
ซ่างหยิงหันไปมองหน้าจอที่กำลังแจ้งเตือน คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างแรง “ทำไมถึงเป็นเธออีกแล้วเนี่ย?”
จากนั้น ไม่รู้ว่าทางนั้นพูดอะไรมา ซ่างหยิงลุกพรวดขึ้นมาทันที สีหน้าตกใจ “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
พอเห็นแบบนั้น เจียงสื้อสื้อจึงรีบถามไปว่า “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
“เมื่อคืนเย้นซินถูกทำร้าย ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว” ซ่างหยิงไม่สนใจข้าวเช้าแล้ว ระหว่างที่ตอบก็เดินดุ่มๆ ออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!