"คุณชาย พอแล้วครับ" กู้เนียนเกรงว่าจิ้นเฟิงเฉินจะทำคนตายเข้าจริงๆ จึงต้องรีบเปล่งเสียงออกไปเพื่อหยุดการกระทำเหล่านั้น จิ้นเฟิงเฉินหายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวขึ้นก่อนจะชายตามองไปยังร่างของซ่านเวยที่นอนคว่ำหน้าไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้นด้วยหางตา หันตัวกลับไปบอกว่า "เอาไปส่งสถานีตำรวจ"
"ได้ครับ"
ทันทีที่ออกจากคฤหาสน์ก็เห็นเสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่บนรถ เสี่ยวเป่าแล้วก็เห็นเขาเช่นกัน พวกเขาสบตากันสองสามวินาทีเสี่ยวเป่าก็ก้มหน้าลง ค่อยๆ เลื่อนกระจกรถขึ้นจนปิดดีแล้ว จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยก่อนค่อยๆ ก้าวขาเดินผ่านไป เปิดประตูก่อนจะก้าวขึ้นรถ ทันทีที่เขานั่งลงภายในรถที่ดูกว้างขวางในตอนแรกก็กลับกลายเป็นสถานที่คับแคบไปในทันที เสี่ยวเป่าบีบมือเข้าหากันแน่น เป็นบรรยากาศที่ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ จิ้นฟงเฉินแอบมองเขาด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าความโกรธอย่างรุนแรงที่อยู่ภายในใจยังไม่หายไป แต่เขาก็ยอมเปิดปากถามออกไปอย่างใจเย็น "ทำไมถึงไม่บอกแด๊ด"
"ผมสามารถจัดการได้ด้วยตัวของผมเอง"
"ฮึ" จิ้นเฟิงเฉินแค่นหัวเราะออกมา
"ใครให้ความมั่นใจกับลูกจนทำให้ลูกคิดว่าลูกเพียงคนเดียวสามารถจัดการกับปัญหาได้?"
"ผมเองก็แข็งแกร่งเหมือนกัน" เสี่ยวเป่าเชิดหน้าขึ้นทำท่าทางดื้อดึง "อีกทั้งผมยังเป็นลูกของแด๊ดด้วยผมสามารถจัดการปัญหาด้วยตัวเองได้" เมื่อเห็นขอบตาของเขาแดงนิดหน่อย ใจของจิ้นเฟิงเฉินก็ตกวูบ เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
การที่ลูกของเขาไม่ยอมแพ้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่เห็นได้ชัดว่าการลงไม้ลงมือแบบนี้ของอีกฝ่ายไม่ได้เกิดขึ้นครั้งสองครั้งแน่ๆ แต่เสี่ยวเป่ากลับไม่เคยพูดถึงเลยสักครั้ง แถมยังไปขอให้ ครูฝึกคาราเต้ช่วยสอนท่าใหม่ๆ ให้เขาเสียด้วยซ้ำไป
ใจหนึ่งเขาก็คงอยากที่จะเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะต่อสู้เอาชนะผู้ชายคนนั้นได้
ถ้าไม่ใช่ว่าถูกสื้อสื้อพบบาดแผลทั่วทั้งร่างกายของเขานั้นบางทีครอบครัวของพวกเขาอาจคงจะโง่งมอยู่อย่างนั้น
ถ้าหากผู้ชายคนนั้นลงมือหนักข้อขึ้นอีกเพียงนิดเดียว เขาอาจจะไม่มีชีวิตอีกแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกใจหาย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธ
"ลูกรู้สึกว่าการกระทำของลูกครั้งนี้ถูกต้องเหรอ" จิ้นเฟิงเฉินกดเสียงถามออกไป
เสี่ยวเป่าเม้มปากแน่น ไม่ได้ตอบออกมา
"ลูกรู้ไหมว่าหม่ามี๊ของลูกเป็นห่วงลูกมากขนาดไหน" จิ้นเฟิงเฉินหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวไว้ภายในใจแล้วพูดต่อว่า หม่ามี๊เขาสองสามวันมานี้ทั้งนอนไม่หลับ ทั้งกินข้าวไม่ได้ ลูกยังคิดว่าตัวเองทำถูกต้องอยู่อีกเหรอ?"
หยดน้ำตาก็หล่นตกกระทบบนหลังมือ เสี่ยวเป่าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น "ขอโทษครับ"
"คนที่ลูกควรจะไปขอโทษคือหม่ามี๊ไม่ใช่แด๊ดดี้"
เสี่ยวเป่าใช้หลังมือมาเช็ดน้ำตา "ผมจะไปขอโทษหม่ามี๊ แต่ว่าผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไป ผมก็แค่อยากที่จะชนะ"
"อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ ลูกคิดว่าตัวเองจะเอาชนะได้เหรอ?" แน่นอนว่าเขาฉลาดขนาดนั้น ทำไมถึงยังมีความคิดที่ไร้เดียงสาเช่นนี้?
"ตอนนี้ผมยังชนะเขาไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตผมจะเอาชนะไม่ได้ เพียงแค่ผมจะต้องเรียนท่าต่อสู้เพิ่มอีกสักสองสามท่าผมก็จะสามารถชนะเขาได้อย่างแน่นอน!" สายตาของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด
ไม่สมวัยของเขาเลย
ในตอนนี้จิ้นเฟิงเฉินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เสี่ยวเป่าอายุยังน้อย ต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ภายในใจเขาคงจะต้องได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปถ้าหากเขาแพ้ไปตลอด จิตใจของเขาอาจจะค่อยๆ บิดเบี้ยวไป
นายอนาคตอาจมีผลกระทบหนักกว่าที่คิดเอาไว้
จิ้นเฟิงเฉินครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากพูดไปอย่างผ่อนคลาย "เสี่ยวเป่าลูกในตอนนี้ยังคงเป็นเด็กอยู่ ความแข็งแรงจะตีเสมอคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ยังไง อย่างน้อยก็อีกไม่กี่ปีข้างหน้า"
ในใจของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความดุดัน สองมือกำเข้าหากันแน่น
แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับแต่ที่แด๊ดดี้พูดก็ไม่ผิด จริงๆ แล้วเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซ่านเวย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ล้มเหลวทุกครั้ง เมื่อ มองดูเขาก้มหน้าลงอย่างสูญเสียความมั่นใจและกำลังใจ กลิ่นอายความตึงเครียดเมื่อครู่ก็จางหายไปหมดแล้ว
ในใจของ จิ้นเฟิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะโอนอ่อนลง ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวของเขา แล้วพูดว่า "แด๊ดจะโทรหา ลุงมู่ป๋าย ว่าเสี่ยวเป่าของพวกเราอาจจะป่วย แล้วจะต้องเข้ารับการรักษาเข้าใจมั้ย? "
เสี่ยวเป่าพยักหน้า แล้วมองมาที่เขาอย่างมึนงง จิ้นเฟิงเฉินรู้ว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองป่วยตรงไหน แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป แล้วพูดต่อว่า "ถ้าไม่อยาก ให้หม่ามี๊เป็นกังวลก็ต้องเชื่อในการการจัดการของแด๊ดดี้" เมื่อกล่าวถึงเจียงสื้อสื้อ เสี่ยวเป่าก็เริ่มตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยักหน้า "โอเค แต่ว่าเรื่องนี้อย่าเอาไปบอกหม่ามี๊นะ"
จิ้นเฟิงเฉินให้คำมั่นสัญญา "ไม่มีปัญหา"
......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!