บทที่ 185 ความอึดอัดที่ไม่อาจบอกใคร – ตอนที่ต้องอ่านของ ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!
ตอนนี้ของ ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! โดย เมียวเมียว ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายมนุษย์หมาป่าแวมไพร์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 185 ความอึดอัดที่ไม่อาจบอกใคร จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่ 185 ความอึดอัดที่ไม่อาจบอกใคร
จิ้นเฟิงเฉินนัดลูกค้ามาคุยกันที่นี่ พอเข้ามาเขาก็เข้ามานั่งที่ที่จองเอาไว้เรียบร้อย โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นเจียงสื้อสื้อด้วยซ้ำ แต่ผู้ช่วยที่มีสายตาเฉียบคมก็มองเห็นเข้าจนได้
“ประธานครับ นั่นใช่คุณเจียงหรือเปล่าครับ?”
จิ้นเฟิงเฉินจึงหันไปดูตามเสียง พอเขาเห็นร่างกายที่คุ้นเคยนั้น เขาก็นิ่งอึ้งไปทันที ไม่เพียงแค่เจียงสื้อสื้อเท่านั้น แต่คนที่นั่งตรงข้ามเธอเป็นผู้ชาย ซึ่งกำลังคุยไปหัวเราะไปกับเธอ โดยไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันแน่
จิ้นเฟิงเฉินได้เห็นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงทุ้มหนาถามขึ้นว่า : “นั่นใครกัน?”
ผู้ช่วยก็แสดงท่าทีบอกว่าไม่รู้ “อยากให้ผมไปลองฟังดูไหมครับประธาน?”
จิ้นเฟิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเห็นด้วย
หลังจากผู้ช่วยเดินไป จิ้นเฟิงเฉินก็เห็นว่าลูกค้าของเขาก็มาถึงแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มมื้ออาหารทันที แต่เขาก็ยังแอบเหลือบมองเจียงสื้อสื้ออยู่บ่อยๆ เป็นเพราะเขารู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เธอเป็นผู้ช่วยของเธอ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าที่เจียงสื้อสื้อมาที่นี่ ก็แค่มาพบลูกค้าเท่านั้น
แต่คิดไปคิดมา บาดแผลของเจียงสื้อสื้อก็เพิ่งจะหายดี ซูซานไม่มีทางที่จะรีบร้อนยัดงานให้กับเจียงสื้อสื้อเป็นแน่ ระหว่างที่จิ้นเฟิงเฉินกำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เพียงชั่วครู่เดียวผู้ช่วยของเขาก็กลับมา แถมสีหน้าท่าทางของเขาก็ดูพูดไม่ออกบอกไม่ถูกด้วย
จิ้นเฟิงเฉินจึงขัดบทสนทนาระหว่างเขากับลูกค้าขึ้น ก่อนจะถามผู้ช่วยว่า : “เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
ลูกค้าเองก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาก็คือจิ้นเฟิงเฉิน เขาจะไปกล้าไม่พอใจได้ยังไงล่ะ
ผู้ช่วยแสดงสีหน้าลังเล ว่าสมควรที่จะบอกเรื่องนี้กับประธานหรือไม่
จิ้นเฟิงเฉินเองก็ส่งสายตามองไปที่เขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น : “พูดมา”
ผู้ช่วยพลันตกใจกับน้ำเสียงหงุดหงิดของเขา ก่อนจะรีบพูดขึ้นว่า : “ประธานครับ คุณเจียงกำลังดูตัวอยู่น่ะครับ”
ชั่วขณะนั้นเอง จิ้นเฟิงเฉินยังคงคิดว่าตัวเองฟังผิดไปเลย ดูตัวเนี่ยนะ?!
“เธอเป็นคนดูตัวเองหรือว่าเป็นผู้ช่วยของเธอกัน?”
เธอน่าจะมาเป็นเพื่อนผู้ช่วยของเธอล่ะนะ จิ้นเฟิงเฉินคิดแบบนั้น
“เป็นคุณเจียงครับ” ผู้ช่วยตอบกลับอย่างสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
เขาเองก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก! แค่ลองไปตรวจสอบดู ก็พบว่าเจียงสื้อสื้อกำลังนัดดูตัวอยู่ คุณเจียง ประธานไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อคุณกันแน่ คุณถึงได้มาดูตัวแบบนี้?
แต่จุดสำคัญก็คือ จะนัดดูตัวอะไรก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมถึงต้องเลือกร้านอาหารนี้มาให้พวกเขาเห็นด้วย ตอนนี้ประธานก็รู้เข้าแล้วอีก...ผู้ช่วยเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองที่ปากพล่อยไป จะไปพูดว่าจะลองไปตรวจสอบเจียงสื้อสื้อเพื่ออะไรกัน
ชั่วขณะนั้นเอง สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินก็เปลี่ยนไปอึมครึมลง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เช้าวันนี้เจียงสื้อสื้อบอกว่าตัวเองมีธุระ ธุระที่ว่าก็คือการมาดูตัวยังงั้นหรือ?
พอเห็นว่าสีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินเปลี่ยนไป ผู้ช่วยก็ตกใจจนแทบแย่ เขาเหมือนมีความรู้สึกว่า ประธานของเขาคิดที่จะไปอัดผู้ชายคนนั้นเสียด้วยซ้ำ
แม้แต่ลูกค้าก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาสงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครมาดูตัวกัน? แน่นอนว่า ถึงจะสงสัยแค่ไหน แต่เขาก็ยังเกรงใจไม่กล้าถามออกไป เพราะจิ้นเฟิงเฉินในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
เจียงสื้อสื้อที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่นั้น เธอก็แอบรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองตัวเองจากด้านหลัง ซึ่งมันทำให้เธอเสียวสันหลังวาบอย่างไม่รู้ว่าทำไม เธอจึงหันไปดู เป็นเพราะอยู่ห่างกันหลายโต๊ะ จึงทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลย
นี่เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่านะ? ทำไมถึงรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องตัวเองอยู่กัน? เจียงสื้อสื้อคิดพลางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เธอในตอนนี้จะไปคิดถึงได้ยังไง ว่าจิ้นเฟิงเฉินเองก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ร้านอาหารนี้เช่นกัน แถมยังรู้ด้วยว่าตัวเธอเองมาดูตัว โชคชะตาของทั้งสองคนมันช่างบังเอิญเสียจริง
เฮ้อ...ช่างมันเถอะ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วกัน!
ขณะนั้น สวีหน้าที่อยู่ข้างๆ เธอก็พูดขึ้นต่อ : “แต่ว่านะพี่สื้อสื้อ ถึงแม้ว่าเว่ยฉีเฟิงคนนี้จะดูดีก็ตาม แต่ประธานจิ้นดูดีกว่าเยอะเลยนะ! ประธานจิ้นอุตส่าห์ทำกับพี่ดีขนาดนี้ เป็นฉันก็มองออก ว่าเขาน่ะชอบพี่มาก ส่วนในใจพี่เองก็น่าจะชอบประธานจิ้นอยู่จริงๆ ใช่ไหมล่ะ...พี่สื้อสื้อ เอาจริงๆ เลยนะ ถึงเว่ยฉีเฟิงจะดีแค่ไหน แต่การที่มานัดดูตัวแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเป้าหมายอะไรแอบแฝงอยู่ก็ได้นะพี่ พวกเรายังไม่รู้จักไม่เข้าใจคนๆ นี้ดีเลย ถ้าไม่อย่างนั้นพี่ลองเก็บประธานจิ้นกับประธานลู่มาพิจารณาดูดีไหม?”
แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไม สวีหน้าไม่เคยที่จะสัมผัสใกล้ชิดกับทั้งสองคนมาก่อน แต่กลับรู้สึกได้ว่าเจียงสื้อสื้อเองก็ชอบจิ้นเฟิงเฉินเช่นกัน ไม่อย่างนั้นครั้งก่อนตอนที่อยู่ต่างประเทศ เธอจะออกไปด้วยกันกับจิ้นเฟิงเฉินกลางดึกกลางดื่นทำไม แถมยังตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลนั่นอีก ตอนที่เจียงสื้อสื้อเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินโผล่มา สีหน้าของเธอก็ดูออกเลยว่าดีใจมากแค่ไหน
ของพวกนี้เป็นสิ่งที่จะแสดงออกมาได้ ต่อคนที่ชอบเท่านั้นล่ะนะ
ทั้งสองคนต่างก็ชอบพอกัน ถ้าหากว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ ในใจของสวีหน้าคงรู้สึกเสียใจอย่างมากแน่ๆ
“แต่ไม่ใช่ว่าชอบแล้วจะอยู่ด้วยกันได้สักหน่อยนี่นา!” เจียงสื้อสื้อถอนหายใจ
สวีหน้าเองก็แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไมกันล่ะพี่? พี่เองก็ชอบประธานจิ้น ประธานจิ้นเองก็ชอบพี่ ถึงสถานะของพี่ทั้งสองคนจะแตกต่างกันมากก็ตาม แต่เรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาห้ามพวกพี่ไม่ให้อยู่ด้วยกันนี่คะ!”
“สวีหน้า มีเรื่องมากมายที่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดหรอกนะ”
เจียงสื้อสื้อยิ้มบางๆ ดูท่าทีหมดหนทาง ถ้าหากระหว่างพวกเธอมันต่างกันแค่สถานะจริงๆ ก็คงจะดีสิ แต่เรื่องเมื่อหกปีก่อนหน้านี้นั้น...ยังไงก็ไม่มีทางที่จะลบออกได้
พอรู้ว่าเจียงสื้อสื้อมีความขมขื่นใจที่ไม่อาจบอกใครได้ สวีหน้าจึงไม่ถามอะไรขึ้นอีก ก่อนจะถอนหายใจตามไป
“ถ้าอย่างนั้นพี่สื้อสื้อก็ต้องคอยสังเกตให้ดีๆ ด้วยนะ ว่าเว่ยฉีเฟิงคนนี้แสร้งทำหรือเปล่า! ไม่แน่ว่าภายนอกอาจจะแสดงว่าดูอบอุ่นสง่างาม แต่ข้างในอาจจะน่ากลัวมากก็ได้ ครั้งหน้าตอนที่พี่ไปเจอเขาก็ระวังๆ ไว้ด้วยนะคะ!”
“อืม พี่รู้แล้วล่ะ” พอได้ยินสวีหน้าเตือนสติแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ พร้อมกับรู้สึกอบอุ่นในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!