ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! นิยาย บท 24

บทที่ 24คุณเองก็ดูดีเหมือนกัน

พอจิ้นเฟิงเฉินได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไปเลย มองดูเขาแล้วมองไปที่เจียงสื้อสื้อ เพ่งมองอย่างละเอียด

เจียงสื้อสื้อรู้สึกตลก คิดในใจ ยังจะมาจริงจังอีก!

เธอกับเสี่ยวเป่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันสักหน่อย จะไปเหมือนกันได้อย่างไร?

เดิมทีจิ้นเฟิงเฉินก็ไม่ได้จริงจังอะไร แต่พอมองไปมองมา ก็รู้สึกแปลกใจ ดวงตาของเสี่ยวเป่ากับเจียงสื้อสื้อนั้นคล้ายกันจริงๆ

ทั้งความโปร่งใส ความประณีต โดยเฉพาะเวลาที่หันไปมา ยิ่งเหมือนเข้าไปอีก

“ใช่เหมือนมาก”

จิ้นเฟิงเฉินตอบไปด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็จ้องมองทั้งคู่ด้วยความละเอียดกว่าเดิม

พอฟังเขาพูดแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นก็จ้องไปที่เสี่ยวเป่าเหมือนกัน

แล้วเธอยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเสี่ยวเป่านั้นก็คือจิ้นเฟิงเฉินในเวอร์ชันที่ย่อเล็กลงมา

ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ รูปลักษณ์ที่ดูดี ไหนจะบุคลิกที่ยากจะเรียนแบบอีก เหมือนออกมาจากรูเดียวกันยังไงอย่างนั้น

“เหมือนกันจริงๆ”

เธอก็พูดออกมาจากใจจริง รู้สึกทึ่งกับความยิ่งใหญ่ของยีนจริงๆ

ใหญ่คนเล็กคน ต่างก็เป็นคนที่สามารถทำลายประเทศได้เลย

เสี่ยวเป่าไม่เข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ จึงเข้าใจผิดไปว่า ตัวเองหน้าตาเหมือนกับเธอจริงๆ จึงได้หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ดวงตาทั้งคู่โค้งจนเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว แล้วพูดออกมาอย่างปลื้มใจว่า “ได้มีหน้าตาเหมือนกับน้าสื้อสื้อช่างเป็นเกียรติของเสี่ยวเป่าจริงๆ!”

เจียงสื้อสื้อก็มีความสุขขึ้นมาทันที

เด็กแค่นี้ก็รู้จักพูดจาประจบขนาดนี้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ

โตขึ้นมาถ้าจีบสาว คงจะเป็นยอดฝีมือเลยก็ได้

พ่อของเขาไม่ได้เป็นคนสอนแน่ๆ!

เจียงสื้อสื้อมองดูก็รู้สึกดีใจ ทนไม่ไหวยื่นมือไปหยิกแก้มของเขา แล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เหมือนกัน “ไม่ คำพูดนี้น้าต้องเป็นคนพูดถึงจะถูก เสี่ยวเป่าดูดีขนาดนี้ การที่น้ามีหน้าตาเหมือนเธอ มันช่างเป็นเกียรติของน้าจริงๆ เลย”

จิ้นเฟิงเฉินพูดขึ้น “คุณเจียงไม่ต้องถ่อมตัวไป เดิมทีคุณก็ดูดีอยู่แล้ว!”

เจียงสื้อสื้อไม่มีทางคาดถึงว่าจิ้นเฟิงเฉินจะชมเธอ เธอรับมือไม่ทัน ดวงตาเบิกกว้าง

เสี่ยวเป่าที่อยู่ในอ้อมอกของเขาให้การสนับสนุนอย่างชอบใจ “ไม่นะ น้าสื้อสื้อเป็นคนสวย สวยที่สุดเท่าที่เสี่ยวเป่าเคยเจอมาเลยครับ”

เจียงสื้อสื้อคิดทบทวนอีกที จึงได้รู้ว่าเธอผิดไป

สกิลในการจีบสาวของเสี่ยวเป่าพ่อของเขานี้แหละเป็นคนสอนแน่ๆ

การแสดงออกเหมือนกันไม่มีผิด การกล่าวชมก็เหมือนกันไม่มีผิด!

ใบหน้าที่ความรู้สึกช้าของเธอเพิ่งจะแดงขึ้น ทำตัวไม่ถูก เธอไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้ต่อแล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที” คือเรามัวมายืนอยู่ตรงนี้เลย คิดกันดีกว่าว่าจะกินอะไรดี? ข้าวเย็นคงไม่ได้ทำแล้ว เอาเป็นว่าหาอะไรง่ายๆ กินดีกว่าไหม?”

จิ้นเฟิงเฉินเสนอขึ้น “ในเมื่อจะฉลอง จะให้มันธรรมดาได้ยังไงกันล่ะ? ร้านอาหารผมจะเป็นคนจองเอง” ระหว่างที่พูดอยู่เขาก็ส่งตัวเสี่ยวเป่ามา

เจียงสื้อสื้อรีบยื่นมือไปรับไว้ เธอเห็นมืออีกข้างของเขาได้ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะโทรออกแล้ว

เจียงสื้อสื้อจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เอาฉันเกรงใจค่ะ”

จิ้นเฟิงเฉินมองไปที่เธอแล้วพูดว่า “กับผมคุณไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอกครับ”

เจียงสื้อสื้อคิดในใจ เพราะเป็นคุณนั่นแหละถึงต้องเกรงใจไม่ถูกหรือไง?

ถึงแม้ว่าระหว่างทั้งคู่จะมีเสี่ยวเป่าขั้นกลางอยู่ จึงทำให้บรรยากาศมันอึกอัดจนเกินไป

แต่ทั้งคู่ก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน ก็ต้องมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน กินข้าวด้วยกัน คิดยังไงมันก็รู้สึกแปลกอยู่ดี

เจียงสื้อสื้ออยากจะพูดกับเขา แต่ทุกครั้งจิ้นเฟิงเฉินก็จะเอาเสี่ยวเป่ามาเป็นข้ออ้าง เธอจึงต้องล้มเลิกมันไป

ในตอนที่เธอกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั่นเอง จิ้นเฟิงเฉินก็ได้คุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว แล้วบอกกับเธอว่า “คุณรออยู่ที่นี่นะเดี๋ยวผมไปขับรถมารับ”

เจียงสื้อสื้อพยักหน้าตอบรับ แล้วมองตามแผ่นหลังของจิ้นเฟิงเฉินไป

……

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสามคนก็ได้นั่งอยู่ในห้องvipของภัตตาคารที่ๆ ใหญ่ที่สุดในเมืองจิ่น

ที่แห่งนี้ก็เหมือนกับภัตตาคารครั้งก่อน เป็นภัตตาคารที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน อาหารของที่นี่นั้นขึ้นชื่อด้านราคาเลย กินมื้อหนึ่งเจียงสื้อสื้อก็ต้องจ่ายเท่ากับเงินเดือนครึ่งเดือนของเธอแล้ว

แล้วเจียงสื้อสื้อก็ได้เริ่มเข้าใจ ไม่ไอแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือไปดู จินซือไป๋อี้จงที่ว่านั้นหน้าตาเป็นยังไง ใบของผักกาดขาวถูกวางไว้บนน้ำซุปสีทองใส มีโกจิเบอร์รี่ถูกตกแต่งอยู่ข้างๆ มันก็ดูสวยดีนะ

อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรพิเศษอีกแล้ว

จิ้นเฟิงเฉินเธอจ้องไปที่ผักกาดขาว จึงรีบลงมือ ตัดให้เธอถ้วยหนึ่ง แล้วพูดว่า “คงหิวแล้วสินะ? ลองชิมดูครับ”

เจียงสื้อสื้อกล่าวขอบคุณ รับเอาไว้ แต่ก็รู้สึกกินไม่ค่อยลง

แต่พอได้ชิมเท่านั้นแหละ เธอก็เข้าใจเลยว่าทำไมผักกาดถ้วยนี้ถึงได้แพงนัก

ส่วนสำคัญมันอยู่ที่ซุป

มันคือการใช้เครื่องเทศหลายอย่างมาเคี่ยวจนเกิดเป็นน้ำซุปชั้นยอดนี้ขึ้นมา กลิ่นหอมเย้ายวน มันหวานและสดชื่น ต่อให้กลืนเข้าไปแล้วกลิ่นหอมยังคงอยู่

จากนั้น……สำหรับคนจนอย่างเจียงสื้อสื้อแล้ว กับการจ่ายเงินหลายพันเพื่อกินผักกาดขาว มันก็ยังยากที่จะรับได้

แต่ว่า เธอก็ไม่ได้โง่พอที่จะพูดมันออกมา แค่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับจิ้นเฟิงเฉินเท่านั้นเอง

มันเป็นความห่างชั้นที่ต่างกันเหลือเกิน ยากที่จะข้ามผ่านมันไปได้

อาหารมื้อนี้ก็ได้ผ่านไปพร้อมกับความรู้สึกที่สับสนแบบนั้น

พอเวลาผ่านไป หลังจากที่ทั้งสามคนกินกันจนได้ที่แล้ว เจียงสื้อสื้อได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ

คิดไม่ถึงว่าตอนกลับมา ระหว่างทางเดิน เธอจะได้เจอกับบุคคลที่เธอไม่อยากจะเจอมากที่สุดในชีวิต

คนคนนั้นก็คือ หลานซือเฉิน เจียงนวลนวล แล้วก็……พ่อของเธอเจียงเจิ้น แม่เลี้ยงเสิ่นซูหลัน และพ่อแม่ของหลานซือเฉิน หลานเป่ยชวนกับฉินซวน

ตอนนั้นทั้งสองครอบครัวดูมีความสุขกันมาก

เจียงเจิ้นพ่อของเธอ ยังพูดกับพ่อแม่บ้านหลานด้วยความยิ้มแย้ม “ซือเฉินเด็กคนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งมีความสามารถ การที่เขามาต้องตานวลนวลของเรานั้นมันคงเป็นบุญที่สั่งสมมาตั้งแต่ชาติที่แล้วละมั้ง”

หลานเป่ยชวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พูดอะไรอย่างนั้น? นวลนวลบ้านคุณก็ไม่ได้ด้อย หน้าตาสะสวย แถมยังฉลาดอีก อาเฉินของเราได้คบหากับนวลนวลก็ถือว่าโชคดีมากๆ เหมือนกัน

ฉินซวนก็ได้พูดสนับสนุนอยู่ข้างๆ “ฉันว่านะ เราถือโอกาสตอนที่เด็กสองคนนี้ยังรักกันดี ไปหาฤกษ์ดีๆ สักวัน จัดงานแต่งให้พวกเขาเลยดีไหม”

เจียงนวลนวลกับหลานซือเฉินสบตากัน แล้วยิ้มออกมา “พวกเราไม่มีปัญหาครับ/ค่ะ”

ทั้งสองคนพูดไปยิ้มไป ในตอนนั้น สายตาของหลานซือเฉินก็ได้หันไปเจอเจียงสื้อสื้อที่ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วสีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!