ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! นิยาย บท 830

สรุปบท บทที่ 830 อย่าให้มันหนีไปได้: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!

ตอน บทที่ 830 อย่าให้มันหนีไปได้ จาก ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 830 อย่าให้มันหนีไปได้ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายมนุษย์หมาป่าแวมไพร์ ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! ที่เขียนโดย เมียวเมียว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 830 อย่าให้มันหนีไปได้

ฝู้จิงเหวินเดินขึ้นรถไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเขายังไม่ให้อภัยพฤติกรรมของข่ายสื้อลินเมื่อสักครู่

แสงแดดแรงจ้ายังเข้ามาในตาของฝู้จิงเหวิน เขาจึงได้หยิบแว่นกันแดดออกมาใส่แต่ไม่ใช่เพราะเพื่อป้องกันแสง

เพียงแต่ไม่ต้องการให้ข่ายสื้อลินค้นพบว่าดวงตาของเขานั้นชุ่มชื้น

ฝู้จิงเหวินขึ้นรถหลับตาลงและเอนไปที่พนักพิงอย่างเหนื่อยล้า

สมองของเขาได้แต่ทบทวนภาพต่างๆใน 3 ปีที่ผ่านมานั้น จนกระทั่งก่อนลงจากรถ ฝู้จิงเหวินจึงได้จัดการกับอารมณ์ของตนเรียบร้อย และกลับไปเป็นฝู้จิงเหวินที่เยือกเย็นดังเดิม

หลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินได้รับเอกสารของเจียงสื้อสื้อไปแล้ว เขาก็รีบพาเจียงสื้อสื้อกลับบ้าน

ตลอดทาง เจียงสื้อสื้อไม่สามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้ จึงร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น

แม้ว่าจะเผชิญหน้าไปแล้ว ตัดสินใจไปแล้ว แต่หัวใจของเจียงสื้อสื้อก็ยังคงอ่อนโยน

ทุกการกระทำที่ฝู้จิงเหวินปกป้องเธอ เธอจดจำเอาไว้ในใจ ไม่อาจจะลบเลือนความดีที่ฝู้จิงเหวินทำกับเธอได้

เมื่อนึกถึงแววตาครั้งสุดท้ายที่ฝู้จิงเหวินมองมา ความรู้สึกผิดในใจเธอก็ทวีคูณเพิ่มขึ้น อย่างไม่อาจควบคุมได้

จิ้นเฟิงเฉินมองไปยังหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ เขาถอนหายใจออกมาและหยุดรถลงข้างทาง

หลังจากนั้นก็เอื้อมมือไปโอบเธอมาไว้ในอ้อมแขน ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่เป็นไรนะครับ อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเลยพวกเราจะได้กลับบ้านกันแล้ว”

เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉิน เจียงสื้อสื้อก็ร้องไห้อยู่สักพักจึงจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วพูดว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ พวกราวกับบ้านกันเถอะ”

เธอไม่อยากให้จิ้นเฟิงเฉินต้องเป็นห่วงเธอมากไปกว่านี้

จิ้นเฟิงเฉินยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเธอ หลังจากนั้นเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มสัมผัสกับศีรษะของเธอเบาๆ เอนตัวไปจูบเธอที่หน้าผาก

หลังจากนั้นก็ขับรถกลับบ้าน

เมื่อกลับมาถึงบ้านจิ้นเฟิงเฉินก็รีบโทรศัพท์หากู้เนี่ยน พูดว่า “ช่วยจองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศให้ผม 2 ใบเอาเร็วที่สุด”

กู้เนี่ยนนิ่งเงียบไปสักครู่และไม่ได้ตอบอะไรออกมา

“มีอะไรหรือเปล่า?” จิ้นเฟิงเฉินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติไป คนอย่างกู้เนี่ยนปกติแล้วไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็มีประสิทธิภาพสูงตลอดมา วันนี้เขากลับนิ่งเงียบๆลงจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ

“เกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถเดินทางออกจากที่นี่ได้ง่ายๆ ระบบในบริษัทถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ที่ไม่รู้จัก และปรากฏเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ จำนวนข้อมูลมากมายของบริษัทหายไป ซึ่งส่งผลกระทบให้กับบริษัทมาก......”

กู้เนี่ยนพูดออกมาจนจบ เสียงของเขายิ่งพูดยิ่งเบาลง

แม้ว่าจะถูกโจมตี แต่นี่แสดงให้เห็นว่าการป้องกันด้านเครือข่ายของพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ จึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสและใช้ประโยชน์จากมันได้

เขารู้ดีว่าคุณชายของเขาพยายามอย่างยิ่งช่วงนี้ก็เพื่อพาคุณผู้หญิงกลับบ้าน

ก่อนหน้านี้ปัญหาที่เอกสารถูกขโมยไปยังไม่ทันได้จัดการ ตอนนี้เอกสารได้มาไว้ในมือแล้วแต่บริษัทกลับเกิดปัญหาขึ้น

เจียงสื้อสื้อมองไปทางสีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินที่เคร่งขรึมลงเรื่อยๆ เธอจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“ไม่มีอะไรครับ” จิ้นเฟิงเฉินเอนศีรษะไปปลอบโยนเธอแล้วพูดกับกู้เนี่ยนว่า

“รายงานเอกสารทุกอย่างกับผม และส่งไฟล์มา 1 ฉบับ”

จิ้นเฟิงเฉินนั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์ มือหนึ่งถึงโทรศัพท์ อีกมือหนึ่งดูเอกสารที่กู้เนี่ยนส่งมาให้

เจียงสื้อสื้อพอจะเดาได้ว่าบริษัทน่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ เธอจึงได้ยืนอยู่ข้างๆเขาแล้วพูดออกมาเบาๆว่า “คุณจัดการธุระที่บริษัทไปก่อนเถอะค่ะ เราไม่รีบกลับบ้านกันหรอก”

จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าแล้วรู้สึกผิด

เจียงสื้อสื้อตั้งตารอคอยจะกลับบ้านเสมอมาแต่กลับมาเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในตอนนี้

เธอรู้ว่าเขารู้สึกผิดอยู่ในใจเจียงสื้อสื้อจึงได้พูดให้ยาบำรุงกำลังกับเขาว่า “เพียงแค่มีคุณอยู่ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นบ้านค่ะ คุณจัดการเรื่องในบริษัทอย่างสบายใจเถอะค่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็สงบนิ่งลงค่อนข้างมากเขาจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง และรวบรวมสมาธิอ่านเอกสารที่กู้เนี่ยนส่งมาอย่างรวดเร็ว

เขารีบเข้าไปในระบบของบริษัท แต่เมื่อเข้าไปก็พบว่าภายในนั้นถูกลงโปรแกรมไวรัสเอาไว้

กู้เนี่ยนโบกมือและให้พวกเขาทั้งหลายวิ่งตามไปดักหน้ารถคันนั้นเอาไว้ ส่วนตนอยู่ในสถานที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบข้อมูลบางอย่าง

เขาเดินเข้าไปในร้านกาแฟด้วยสีหน้าสงบนิ่ง และเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าที่ชายคนนั้นนั่งลงเมื่อสักครู่ เขายืนสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ นอกจากแก้วกาแฟแล้ว ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกเลย

กาแฟนั้นถูกดื่มไปกว่าครึ่งแก้ว แต่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งดูเหมือนจะระมัดระวังตัวมาก เขาไม่เหลือไว้แม้แต่รอยนิ้วมือด้วยซ้ำ

เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเขาก็หยิบออกมาดู แล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ลูกน้องของเขาโทรมา

เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? โทรมาหาเขารวดเร็วขนาดนี้มีข่าวดีหรือไง?

กู้เนี่ยนรับโทรศัพท์ อีกฝ่ายหนึ่งพูดด้วยอาการเหนื่อยหอบว่า “มันหายไปแล้วครับ ! พวกมันระมัดระวังมากและถือโอกาสเปลี่ยนรถ”

นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคาดไว้มาก่อน

กู้เนี่ยนพยักหน้าและไม่ได้ตำหนิพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมความพร้อมมาแล้ว หากว่าถูกจับได้ง่ายๆก็น่าจะมีกับดักบางอย่างอยู่

“หลังจากที่อีกฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนรถ เห็นทะเบียนรถของพวกเขาไหม? เห็นเหรอ? รีบแจ้งหมายเลขทะเบียนรถไปให้ผม ผมจะรายงานboss”

กู้เนี่ยนกำชับกับอีกฝ่ายหนึ่ง

ด้านของจิ้นเฟิงเฉินนั้นหลังจากที่จัดการกับรหัสมากมายบรรทัดสุดท้ายจนเสร็จสิ้นเขาก็ถอนหายใจออกมา และกำชับให้กู้เนี่ยนไปรอเขาที่บริษัท

ในเวลานั้น เจียงสื้อสื้อเดินถือนมขึ้นมาแก้วหนึ่ง

เมื่อเห็นสีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินที่ค่อนข้างจะเยือกเย็น เธอก็อดไม่ได้ที่จะกังวลแล้วถามขึ้นว่า “เฟิงเฉินคะ จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็เอามือลูบศีรษะของเธอเบาๆแล้วพูดปลอบโยนว่า “ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมจะไปที่บริษัทหน่อยนะ”

เมื่อพูดจบจิ้นเฟิงเฉินก็ทิ้งรอยจูบไว้บนหน้าผากของเธอก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!