เช้าตรู่ของวันเดียวกัน ฟางยู่เชินได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาล
“คุณฟางคะ ตอนนี้คุณหมอกำลังทำการช่วยเหลือหลี่เผิงอยู่ สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่ ถ้าคุณสะดวกก็ของเรียนเชิญที่โรงพยาบาลหน่อยค่ะ”
เสียงที่ส่งมาจากพยาบาล กวาดเอาความง่วงของฟางยู่เชินออกไปจนหมด
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
ตอนที่ฟางยู่เชินมาถึงโรงพยาบาลนั้น ที่หน้าประตูห้องฉุกเฉินได้มีตำรวจยืนอยู่หลายคน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” เขาวิ่งเข้าไปถามด้วยความร้อนรน
“มีคนฉีดยาพิษใส่หลี่เผิงครับ” ตำรวจคนหนึ่งตอบ
ฟางยู่เชินนึกว่าตัวเองฟังผิด “คุณว่ายังไงนะครับ? ฉีดยาพิษเหรอ?”
“ครับ มีคนปลอมตัวเป็นพยาบาล เข้าไปในห้องโดยอ้างว่าจะเข้าไปตรวจห้องคนไข้ และได้ฉีดยาพิษเข้าไปในร่างกายของ หลี่เผิงครับ”
ครั้งนี้ตำรวจตอบได้ค่อนข้างละเอียด
ฟางยู่เชินตกใจ หายใจลึกๆ จากนั่นก็ถามไปว่า “แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าครับ?”
“หมอกำลังให้การช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถอยู่ แต่เมื่อกี้พยาบาลได้ออกมาบอกว่าอาการไม่สู้ดีเท่าไหร่ อาจจะช่วยชีวิตของเขาไว้ไม่ได้”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
ฟางยู่เชินพูดกับตัวเอง เขาหลับตาลง ผ่านไปเนิ่นนานถึงสงบสติอารมณ์ได้
“แล้วจับคนร้ายได้รึยังครับ?” ฟางยู่เชินลืมตาขึ้นมา แล้วมองไปยังพวกตำรวจ
“กำลังตรวจสอบอยู่ครับ” พวกตำรวจชะงักไป “เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นปลอมตัวมา มันจึงเป็นเรื่องยากกับการตรวจสอบครับ”
“ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ต้องจับคนร้ายมาให้ได้ มีความเป็นไปได้ที่หลี่เผิงจะรู้ถึงต้นตอที่เกิดเพลิงไหม้กับโกดังก็ได้ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เขาคือพนักงานของฟางซื่อกรุ๊ป ผมจะปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปไม่ได้”
“เรื่องนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเราเหมือนกัน เราเองก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจับคนร้ายมาให้ได้ครับ”
หลังได้รับการช่วยเหลือจากหมอ ถึงจะช่วยชีวิตของหลี่เผิงได้ แต่เขาก็ยังพ้นขีดอันตรายอยู่ดี และถูกส่งเข้าไปในห้องไอซียู
ฟางยู่เชินมองดูบุคคลบนเตียงที่นอนนิ่งไม่ไหวติงผ่านหน้าต่างกระจก ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างถึงที่สุด
“ท่านประธาน” ส้งหยาวมาถึงด้วยท่าทางที่เร่งรีบ
ฟางยู่เชินพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “แจ้งเรื่องนี้กับครอบครัวของ หลี่เผิงที”
ส้งหยาวรู้สึกแปลกใจ “คุณแน่ใจเหรอครับ?”
ตั้งแต่เกิดเรื่องกับหลี่เผิง พวกเขาก็ปิดเรื่องนี้กับครอบครัวของเขามาตลอด เหตุผลหลักๆ คือ กลัวว่าถ้าครอบครัวของเขารู้เรื่องแล้วจะเข้ามาโวยวายที่บริษัท
พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ถูกรบกวนจากสิ่งอื่นก่อนที่จะตรวจสอบเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่โกดัง
ฟางยู่เชินหันข้างมามองเขา “เขาอาจทนได้อีกไม่นานแล้ว ถ้ายังไม่รีบแจ้งให้ครอบครัวของเขารู้ เกิดเขาเสียชีวิตขึ้นมาจริงๆ ฟางซื่อกรุ๊ปก็ต้องรับผิดชอบ”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะติดต่อครอบครัวของเขาเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ส้งหยาวจากไปอย่างเร่งรีบเหมือนตอนที่มา
ฟางยู่เชินหันไปมองหลี่เผิงที่นอนอยู่ในห้องไอซียูอีกครั้ง ก่อนจากเดินจากไปเหมือนกัน
……
ฟางยู่เชินเดินทางไปที่บริษัทเลย ทันทีที่รถของเขาจอดลง ก็เห็นรถของฟางอี้หมิงวิ่งผ่านหน้ารถเขาไป
เขาขมวดคิ้วเบาๆ ก้าวลงจากรถ เงยหน้ามองไปยังทิศทางที่รถของฟางอี้หมิงจอดลง
พอฟางอี้หมิงลงจากรถ เงยหน้ามาก็เจอกับฟางยู่เชินเข้าพอดี เขาอึ้งไป จากนั้นก็ตั้งสติแล้วเดินมาทางฟางยู่เชิน
“ยู่เชิน วันนี้ทำไมถึงมาทำงานเช้าแบบนี้ครับ?”
ฟางยู่เชินยิ้มมุมปาก “ผมก็ดู พี่เป็นตัวอย่างไงครับ”
“คำพูดของคุณมัน……” ฟางอี้หมิงส่ายหน้าและยิ้มไม่ออก
แววตาของฟางยู่เชินเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง แสร้งทำเหมือนไม่ใส่ใจ “อาการของหลี่เผิงไม่ค่อยสู้ดีนัก หมอบอกว่าเขาอาจจะไม่รอด”
พูดจบ เขาก็จ้องเขม็งไปที่ฟางอี้หมิง
“อะไรนะครับ?” ฟางอี้หมิงทำหน้าตกใจ “เกิดอะไรขึ้นครับ? ไหนบอกว่าอาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
ฟางยู่เชินหรี่ตา “คุณรู้ได้ยังไงครับว่าเขาดีขึ้นแล้ว?”
“หา?” เห็นได้ชัดว่าฟางอี้หมิงมีอาการรนเล็กน้อย แต่เขาก็กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว และได้ถามกลับไปว่า “ผมที่เป็นถึงรองประธาน จะเป็นห่วงพนักงานในบริษัทหน่อยไม่ได้เลยรึไงครับ?”
“ได้ ต้องได้อยู่แล้วครับ”
ฟางยู่เชินมองเขาอย่างมีความนัยไปแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปทางลิฟต์
พอเขาหมุนตัวไป สีหน้าของฟางอี้หมิงก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที และจ้องมองแผ่นหลังของเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!