บทที่ 669 จียุ่นเหิมเกริม
“สวัสดีครับปรมาจารย์ฟางเจิ้ง” ก่วนหนานเทียน อู่จื่อโจวเอ่ยตอบรับโดยไม่ได้นัดหมาย ส่วนเย่หนานเทียนหรี่ตามองศีลสามแล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพร้อมถอนหายใจ “ฟางเจิ้ง นายหาทายาทได้ดีนี่”
“ผู้อาวุโสเย่ เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี เพิ่งเจอกันคุณอย่าเพิ่งพูดประชดผมเลย” ปรมาจารย์ฟางเจิ้งเอ่ยอย่างกลุ้มใจ เขาคิดว่าเย่หนานเทียนกำลังพูดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ทว่ากลับไม่รู้ว่าเย่หนานเทียนมองเห็นพรสวรรค์ในตัวศีลสาม
“พระสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ นายไม่คิดว่าผู้อาวุโสเย่หนานเทียนกำลังพูดประชดฉันหรือ? นายเป็นศิษย์พี่ฉันจริงหรือเปล่า?”
ศีลสามเบะปากก่อนจะเอ่ยทักทายคนอื่นๆ “สวัสดีครับท่านประมุขก่วน หัวหน้าอู่ ผู้อาวุโสเย่”
เมื่อเอ่ยจบศีลสามก็เบนสายตาไปจับจ้องเฉินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเย่หนานเทียน ราวกับได้เจอโลกใบใหม่ “นายคือเฉินเฟิงที่ฆ่าจิ่งเถิงในตำนานใช่ไหม? เป็นอย่างที่เขาเลื่องลือจริงๆ ดีใจที่ได้รู้จักนาย ฉันมีนามว่าศีลสาม หลังจบการคัดเลือก พาฉันไปเที่ยวชมยันเจียงที!” ถึงแม้ศีลสามจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้พระสงฆ์วัยกลางคนแทบกระอักเลือด ทว่ากับเฉินเฟิงกลับพนมมือ เพราะนี่เป็นมารยาทของพระพุทธศาสนา
“สวัสดีศีลสาม” เฉินเฟิงยิ้มตอบพลางยกมือคารวะ เขารู้สึกว่าพระสงฆ์เยาวชนคนตรงหน้ามีสีสันดี
ในขณะเดียวกัน หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นชายสวมเสื้อคลุมยาวสองคนกำลังมุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ด้านก่วนหนานเทียน อู่จื่อโจว เย่หนานเทียนรวมถึงฟางเจิ้งและศีลสามก็หันไปจับจ้องคนมาใหม่
ชั่วอึดใจคนมาใหม่ก็ลดความเร็วลงแล้วเดินมุ่งมาทางที่ทุกคนยืนอยู่ ทั้งสองคนสวมเสื้อคลุมยาวเหมือนกัน คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมยาวสีเทา ส่วนอีกคนเป็นเยาวชนสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว
“ได้ข่าวว่าศาสนาพุทธภาคตะวันตกฝึกฝนทายาทสุดแปลกคนหนึ่ง วันนี้ได้มาเห็นกับตาเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ!” เดินๆอยู่เยาวชนเสื้อคลุมขาวก็กวาดสายตามองทีละคนก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ศีลสาม
“นายเป็นใคร?” ถึงแม้ศีลสามจะเป็นคนเฮฮา ไม่ชอบการตีรันฟันแทง ทว่าเมื่อโดนดูถูกก็มีน้ำโหอยู่บ้าง เขาขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยถาม
อย่างไรก็ตาม
เยาวชนเสื้อคลุมขาวกลับไม่เห็นศีลสามอยู่ในสายตา ทว่าหันไปจับจ้องเฉินเฟิงด้วยสายตาเย็นชาก่อนเอ่ยอย่างเน้นย้ำ “ตระกูลจีของเราเป็นศัตรูกับตระกูลจิ่งมาช้านาน ความจริงแล้วจิ่งเถิงคือคู่ต่อสู้ที่ฉันเล็งไว้แต่แกกลับชิงตัดหน้าไปก่อน แค้นนี้เราต้องมาชำระกันหน่อย!”
“คุณจะชำระยังไง?”
เฉินเฟิงคิ้วกระตุกครั้งหนึ่ง จากคำพูดของเยาวชนเสื้อคลุมขาวเขาสามารถเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพียงแต่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายบ้าคลั่งเกินไปไม่เพียงแต่ไม่มีมารยาท แถมยังท้าทายกันตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรก คงอยากถูกจัดการจริงๆ
“เมื่อการคัดเลือกเริ่มต้นขึ้น ฉันจะส่งแกกลับบ้านเป็นคนแรก!” จียุ่นชะงักฝีเท้า เชิดหน้าขึ้นแล้วมองเหยียดเฉินเฟิง ความรู้สึกนั้นเหมือนเฉินเฟิงคือแมลงวันที่เขาสามารถฆ่าได้ทุกเมื่อ
“ยุ่นเอ๋อ อย่าเสียมารยาท”
ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้เฉินเฟิงเอ่ยปาก ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างจียุ่นก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
เขาคือจีอู๋ฉางบิดาของจียุ่น เป็นทายาทรุ่นก่อนของตระกูลจี เคยเอาชนะเย่หนานเทียนได้
ไม่มีใครรู้จักลูกดีกว่าคนเป็นพ่อแล้ว
ในฐานะบิดาของจียุ่น เขารู้จักนิสัยของลูกชายตัวเองดี
พรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของจียุ่นนั้นแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป เขาถูกฝึกฝนในฐานะทายาทตระกูลจีมาตั้งแต่เด็ก บวกกับเป็นคนไม่ยอมแพ้จึงประสบความสำเร็จในด้านศิลปะการต่อสู้ไม่น้อย
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้จียุ่นมีนิสัยก้าวร้าว นอกจากผู้อาวุโสในตระกูลแล้วเขาก็แทบไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา
และในตอนนี้จียุ่นที่เพิ่งปรากฏตัวก็หาเรื่องศีลสามทายาทของศาสนาพุทธตะวันตกและเฉินเฟิงเสียแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับจียุ่นแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...