ทว่าต่อให้ไป๋จิ้งเฟิงจะพูดแบบนี้ แต่สำหรับตัวเฉินเฟิงแล้ว เรื่องที่ไม่มีทางทำได้ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้อยู่ดี
เดิมทีเขาอยากจะปฏิเสธไป๋จิ้งเฟิงไปโดยตรง แต่เมื่อดูสีหน้าของไป๋จิ้งเฟิงสองพ่อลูกแล้ว เฉินเฟิงจึงได้เพียงตอบกลับอย่างอ้อมๆ : “เรื่องนี้ผมคงต้องไตร่ตรองอีกสักระยะถึงจะได้ ถ้าหากว่าทั้งสองไม่ถือสาอะไร ผมขอเวลาทบทวนอีกสักสองสามวันแล้วค่อยแจ้งให้กับพวกคุณดีกว่านะครับ ”
สองพ่อลูกตระกูลไป๋ได้ยินอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจว่ามันเป็นเพียงประโยคสำหรับบ่ายเบี่ยงเท่านั้น ด้านไป๋ซิงจึงคิดที่จะโน้มน้าวอีกสักหน่อย แต่ก็ถูกไป๋จิ้งเฟิงห้ามเอาไว้เสียก่อน
ไป๋จิ้งเฟิงตอบกลับอย่างถ่อมตัว: “อย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณชายเฉินแล้ว ถ้าหากว่าคุณชายเฉินตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว รบกวนแจ้งให้กับผมด้วย ”
เฉินเฟิงเพียงพยักหน้า ไม่ได้ตอบกลับอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
น้ำชาที่วางอยู่ข้างๆ ไป๋จิ้งเฟิงไม่ได้คิดจะดื่มต่อ เพียงหันไปพูดกับไป๋ซิง : “ ซิงเอ๋อ ประคองฉันกลับกันเถอะ อย่าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณชายเฉิน ”
ไป๋ซิงประคองไป๋จิ้งเฟิงตามคำพูดของเขา ซึ่งทั้งสองเดินทางมาอย่างไร ก็จากไปแบบนั้น
มองดูรถของพวกเขาจากไป จูๆเฉินเฟิงก็รู้สึกใจหนักอึ้งขึ้นมาทันที
และในตอนนั้นเองที่เสี่ยวเย่เดินออกมาจากด้านในบ้าน เธอกล่าวถามด้วยความสงสัย : “ชายชราคนนั้นก็คือนายท่านไป๋สินะคะ ดูแล้วก็อายุเยอะมากแล้วจริงๆนะคะ เหมือนกับยายทวดในหมู่บ้านของฉันเลยค่ะ รู้สึกได้เลยว่าอีกเพียงนิดเดียวก็จะตายไปได้อย่างง่ายดาย ”
เสี่ยวเย่พูดโดยไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนัก แต่เฉินเฟิงกลับไม่สนใจเธอเลย
เขาถาม: “เสี่ยวเย่ คุณว่าถ้าหากคนในครอบครัวของคุณถูกคนอื่นฆ่าตาย แต่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลย คุณทำได้เพียงต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น คุณจะทำยังไง ?”
เสี่ยวเย่ที่ถูกถามด้วยคำถามนี้ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา แต่เพราะเฉินเฟิงเป็นคนถาม ดังนั้นเธอจึงคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง ก่อนจะตอบกลับ : “ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันก็พร้อมจะพลีชีพเพื่อไปตามหาคนๆนั้น”
เฉินเฟิงถามกลับ: “ทำไม?”
เสี่ยวเย่ครุ่นคิดพร้อมตอบ: “ฉันก็แค่คิดว่าคนเลวขนาดนี้ ถ้าหากไม่มีใครจัดการกับเขา เขาก็คงจะต้องไปฆ่าคนอื่นอีก และถึงเวลานั้นคนที่ต้องตายจะไม่ได้มีแค่คนของฉันเท่านั้น ”
เฉินเฟิงหัวเราะออกมา มันก็สมเหตุสมผลดี แต่ทำไมไม่มีใครหน้าไหนในตระกูลใหญ่พวกนั้นเข้าใจเรื่องแบบนี้เลย
“ผมเอาแต่ด่าว่าคุณโง่มาตลอด แต่ตอนนี้ดูแล้วคุณไม่ได้โง่เลยสักนิด แถมยังฉลาดมากอีกด้วย ” เฉินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำชมเชยจากเฉินเฟิง เสี่ยวเย่ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก: “ฉันก็บอกแล้วว่าฉันไม่โง่ แต่คุณชายเฉินก็เอาแต่บอกว่าฉันโง่ ตอนนี้คุณก็เห็นสักทีว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนฉลาดใช่ไหมล่ะคะ ”
เฉินเฟิงหัวเราะ: “ช่างเถอะ เมื่อกี้ถือซะว่าผมมองผิดไป คุณก็ยังคงเป็นหญิงไร้สมองอยู่ดี ”
เสี่ยวเย่เบ้ปากด้วยความขุ่นเคืองทันที: “คุณชายเฉิน คุณทำแบบนี้ได้ยังไงคะ ชมคนอื่นแล้วจะกลับคำได้ยังไงคะ คุณทำแล้วจะไม่ยอมรับงั้นหรอคะ?”
หลังจากนั้นภายในหุบเขา เฉินเฟิงใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สามวัน เพราะเป็นความจริงที่เขานั้นมีความรู้สึกขัดแย้งกับหมาป่าทะเลทราย แต่การจะให้ลงมือต่อกรก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ดังนั้นจึงทำให้เกิดความลังเลไม่น้อย
หลังจากที่สามวันสิ้นสุดลง เขาก็คิดว่ายังไงก็ยังต้องให้คำตอบแก่ตระกูลไป๋ และไม่ว่าจะเป็นคำตอบตกลงหรือปฏิเสธ ยังไงก็บอกกล่าวให้พวกเขาได้รู้
จากนั้นเขาจึงให้ชายคนนั้นพาตัวเองไปส่งยังบ้านตระกูลไป๋ ซึ่งในตอนนั้นก็ได้มีคนมารอรับเขาอยู่แล้ว
แต่ไม่ได้มีใครมากมายนัก เพราะนอกจากไป๋จิ้งเฟิงสองพ่อลูก ก็มีเพียงชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งดูแล้วเขาน่าจะเป็นคนที่ตระกูลไป๋ให้ความไว้วางใจ
“คุณชายเฉิน คุณน่าจะแค่ส่งข่าวให้กับพวกเราก็พอ พวกเราจะได้เดินทางไปหาคุณบนเขาเอง ” เมื่อเจอหน้าไป๋จิ้งเฟิงก็พูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...