แต่ว่าเฉินเฟิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมวางเสี่ยวเย่ลงเลย ทั้งยังยิ้มให้กับเสี่ยวเย่ด้วยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ : “อย่างนั้นคุณก็พูดมาว่าจะยกโทษให้ผมหรือเปล่า ”
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองยังคงอยู่บนถนนใหญ่ มีผู้คนเดินอยู่รอบๆ อย่างไม่ขาดสาย จึงทำให้มีผู้คนคอยเหลียวหันมามองยังพวกเขาอยู่ตลอด
เสี่ยวเย่มีหรือจะทนรับสถานการณ์แบบนี้ได้ สายตาที่มองมายังพวกเขาเป็นเหมือนดั่งเข็มที่ทิ่มแทงลงไปบนร่างกายของเธอ แต่ถึงอย่างไรในใจของเธอยังคงโกรธเคืองเฉินเฟิงอยู่ ดังนั้นจึงไม่ยอมที่จะพูดคำว่ายกโทษให้เขาออกมา
“อย่างนั้นผมก็จะอุ้มคุณกลับไปทั้งอย่างนี้แหละ” เมื่อมองดูเสี่ยวเย่กำลังลังเลอยู่ตรงนั้น เฉินเฟิงจึงอุ้มเธอเดินก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว เพื่อต้องการที่จะบังคับให้เธอยอมจำนน
“ไม่เอาค่ะ” เสี่ยวเย่พึมพำ: “คุณวางฉันลงเถอะนะคะ”
“อย่างนั้นคุณจะยกโทษให้ผมหรือเปล่า?หากผมวางคุณลง คุณจะต้องยกโทษให้ผม”
ตอนนี้ใบหน้าของเสี่ยวเย่นั้นแดงจนกลายเป็นลูกแอปเปิลไปแล้ว และเมื่อเฉินเฟิงกล่าวถามย้ำอีกครั้ง เธอจึงได้เพียงแค่ยอมจำนนเท่านั้น
“คุณวางฉันลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เสี่ยวเย่พูดด้วยเสียงเบาๆ
“แต่ผมกลัวว่าคุณจะเปลี่ยนใจ”
“ฉันยกโทษให้คุณก็สิ้นเรื่องแล้ว คุณรีบวางฉันลงได้เถอะค่ะ มีคนมองมาเยอะมากแล้ว ”
เฉินเฟิงเหลียวหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่ากำลังมีสายตาจับจ้องมาที่พวกเขาอยู่จริงๆ
“พวกเขาอยากมองก็ให้พวกเขามองไป ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ”
เสี่ยวเย่ทนรับสายตาแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปจึงต้องร้องขอความเมตตา: “คุณชายเฉิน ฉันขอร้องล่ะ คุณวางฉันลงเถอะนะคะ ฉันสัญญาว่าจะไม่โกรธคุณแน่นอน”
ทางด้านเฉินเฟิงก็รู้ดีว่าไม่สามารถเล่นแบบนี้ต่อไปได้อีก ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมเขาจึงไม่ลังเลที่จะรับคำขอนั้น
เขาวางขาของเสี่ยวเย่ลงก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ให้เธอยืนกับพื้น
แต่อย่างว่านิสัยของผู้หญิงมักจะกลับกลอกไปมา พอทันทีที่เสี่ยวเย่ยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง เธอก็หันหน้าหนีและไม่สนใจเฉินเฟิงอีกครั้ง
“คุณสัญญากับผมแล้วนะ ว่าจะไม่โกรธผมแล้ว” เฉินเฟิงแย้งขึ้นมา
“คุณชายเฉินนิสัยไม่ดี”
เสี่ยวเย่เบ้ปากด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ
“เอาน่ะ ผมสำนึกผิดแล้ว จากนี้ไปจะไม่ล้อเล่นอะไรแบบนี้กับเสี่ยวเย่อีก ”
เสี่ยวเย่ไม่สนใจเฉินเฟิงอะไรทั้งสิ้น พร้อมกับเดินไปยังทางป้ายรถเมลเพียงลำพัง
เฉินเฟิงเห็นอย่างนั้นจึงรีบตามไป โดยไม่พูดอะไรเช่นกันพร้อมกับเดินเคียงข้างเสี่ยวเย่ไปอย่างนั้น
กระทั่งทั้งสองขึ้นไปบนรถเมล เฉินเฟิงก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
ในขณะที่เสี่ยวเย่นั่งลงอยู่บนเก้าอี้ เฉินเฟิงก็จะคอยยืนอยู่ข้างๆ และไม่สนใจเก้าอี้ตัวอื่นที่ว่างอยู่เลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวเย่จ้องมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความขุ่นเคือง ภายในจิตใจก็อยากจะถามเฉินเฟิงว่าเขากำลังทำอะไร แต่ก็รู้ดีว่าหากเธอเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนก็จะตกหลุมกับดักของเฉินเฟิงทันที ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่พูดออกมา
แต่หลังจากที่รถเมลขับผ่านไปแล้วสี่ห้าป้ายรถ ในที่สุดเสี่ยวเย่ก็ไม่อาจอัดอั้นความรู้สึกได้อีกต่อไป : “คุณชายเฉิน ทำไมคุณถึงต้องทำอย่างนี้ด้วย ”
เฉินเฟิงถามกลับอย่างอ่อนโยน: “ผมทำอะไร?”
“หื้ม!” เสี่ยวเย่อุทานออกมาเพียงคำเดียว จากนั้นก็ไม่คิดจะให้คำอธิบายที่ชัดเจนให้กับเฉินเฟิงอีก
เมื่อนั่งรถมาจนถึงป้ายสุดท้าย บนรถตอนนี้ก็เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หลังจากลงมาจากรถพวกเขายังต้องเดินขึ้นเขาไปอีกสักระยะ
และตรงบริเวณเชิงเขาก็เป็นหมู่บ้านของเสี่ยวเย่ ซึ่งตัวเธออยากจะเชิญชวนเฉินเฟิงให้เข้าไปดูเสียหน่อย แต่เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นเธอกลับไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดอย่างไรดี
ส่วนเฉินเฟิงก็ได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
เสี่ยวเย่เปิดปากพูดด้วยเสียงเบาๆ : “คุณชายเฉิน!”
“อืม!” เฉินเฟิงตอบกลับ
“ฉันไม่โกรธคุณแล้ว”
“จริงหรอ?”
“อืม”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวเย่หน่ะดีที่สุด” เฉินเฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...