เช้าวันต่อมา...เวลา 07:09 น. แพรณารากับฟ้ารดาพากันไปทำบุญตักบาตรและถวายสังฆทาน จากนั้นก็ไปไหว้อัฐิพ่อและแม่ของแพรณารา แล้วทั้งสองก็พากันไปทานข้าวก่อนจะไปซื้อสมุด ปากกา ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด และขนมอีกมากมายไปแจกนักเรียนบนดอยอย่างที่ตั้งใจกันเอาไว้
จากนั้นก็เดินทางไปยังไร่สิรันยากรณ์ เพื่อไปกราบคุณเพียงดาวและไปรับเพื่อนสาวสุดที่รักอย่างแพรลานนา ที่เพิ่งกลับจากอเมริกามาเมื่อไม่นานนี้ไปเที่ยวและไปแจกของใช้ที่โรงเรียนบนดอยด้วยกัน
ไร่สิรันยากรณ์... สองสาวพากันเข้าไปกราบคุณเพียงดาวได้สักพัก แพรลานนาก็ลงมาพบ สามสาวได้เจอกันอีกครั้งอย่างพร้อมหน้าก็กอดกันน้ำตาคลออย่างดีใจ ก่อนจะขอตัวพากันไปเที่ยว ตามที่วางแผนและตกลงกันเอาไว้ในไลน์กลุ่มเมื่อคืน
ม่อนแจ่ม @ เชียงใหม่...พอเดินทางมาถึงม่อนแจ่ม เพื่อชมองุ่นที่สวนอีเดน ด้วยฝีมือการขับของลุงชื่น คนขับรถของไร่สิรันยากรณ์ที่คุ้นเคยชำนาญทาง และขึ้นไปต่อเพื่อชมธรรมชาติที่สวยงาม มีทั้งดอกท้อที่กำลังเบ่งบานบนยอดดอยที่มองลงมาไกลสุดลูกหูลูกตา
แล้วสามสาวก็พากันหันไปมองตามเสียงที่ดังมาจากบนเนินฝั่งขวามือที่นักท่องเที่ยวขับฟอร์มูล่าม้งลงมาจากบนเนิน ทั้งส่งเสียงกรีดร้องและหัวเราะกันมาตลอดทางที่ลาดชัน จนกระทั่งลงมาถึงจุดที่ทั้งสามยืนอยู่ ทำเอาสาวๆ ถึงกับหัวเราะจนหน้าแดงที่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนักท่องเที่ยวแต่ละคนดูจะประทับใจกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะบางคนถึงกับขึ้นไปขับซ้ำถึงสองสามรอบเลยก็มี
จากนั้นก็แวะซื้อสตรอว์เบอร์รี่ที่ขายอยู่ใกล้ๆ ถือหิ้วไปนั่งยังร้านกาแฟที่อยู่ตรงจุดชมวิวของม่อนแจ่ม เป็นร้านที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้เข้าไปนั่งพัก จิบกาแฟเป็นอย่างมาก สามสาวสั่งกาแฟพร้อมกับออกไปนั่งรอที่โต๊ะด้านนอก
ฟ้ารดารีบหยิบมือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้ ทั้งแพรณาราและแพรลานนาต่างก็ยิ้มให้กล้องที่ฟ้ารดาเป็นคนถือและกดบันทึกภาพ สามสาวถ่ายกันจนจุใจก่อนจะพากันมานั่งจิบกาแฟที่คนขายยกมาเสิร์ฟพอดี
พอนั่งจิบกาแฟไปได้สักพัก ฟ้ารดาก็เปิดประเด็นเด็ดที่เพิ่งจะทราบจากคุณเพียงดาวมา “ได้ข่าวมาว่าคนแถวนี้จะแต่งงานเหรอ?”
“คะ... ใครกันจะแต่งงาน” คนแถวนี้ที่กำลังจะแต่งงานแสร้งถามด้วยเสียงสั่นๆ
“อ๊ะ! ยังจะมาตีเนียนอีกยัยแพร! เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ! อะไรยังไง ฉันจะได้รีบไปตัดชุดใส่ให้ทันวันงาน” ฟ้ารดาแกล้งทำท่าจริงจังทำเอาแพรณาราอดขำไม่ได้
“คุณเพียงดาวเล่าให้ฟังใช่ไหมล่ะ เฮ้อ...ฉันไม่ได้อยากจะแต่งด้วยสักหน่อย ตอนนี้ฉันกำลังหาทางเอาตัวรอดอยู่ เอ๊...ว่าแต่ฉันก็ได้ข่าวแว่วๆ ว่าคนแถวนี้ถูกผู้ชายคุกเข่าขอแต่งงานไม่ใช่เหรอ แล้วว่าที่เจ้าบ่าวล่ะ ไม่มาด้วยหรือจ๊ะมิกิ!” แพรลานนารีบปัดไปเรื่องของแพรณารา เพราะไม่อยากจะเล่าเรื่องของตนสักเท่าไหร่ เพราะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอนั้นสุดเกรียนขนาดหนัก จนไม่กล้าจะเล่าให้ใครฟังถึงที่ไปที่มาอันน่าขมขื่นที่ตนเองได้พบได้เจอ
“เอ่อ...คือว่าตอนนี้เราแยกกันอยู่เพื่อทบทวนตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วเราพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรือเปล่าน่ะจ้ะ” แพรณารากัดฟันเอ่ยเพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง
“โอเค ตกลงไม่มีใครพร้อมจะเล่า แต่ฉันก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะตัดชุดหรอกนะ เพราะฉันมั่นใจเหลือเกินว่าจะต้องได้ใส่อย่างแน่นอน” ฟ้ารดาเอ่ยพร้อมกับยิ้มให้สองสาวที่ดูจะหน้าเจื่อนๆ ไปทั้งสองคน
“ตัดเลยจ้า แม่นางแบบดัง ไม่แน่นะ! บางทีคนที่แต่งก่อนอาจจะเป็นเธอก็ได้ คิกๆๆ” แพรณาราได้ทีก็จัดการเพื่อนสาวไปเบาๆ ทำเอาฟ้ารดาถึงกับหน้าแดงขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“นี่แพรพลาดอะไรไปบอกหน่อย” แพรลานนาเอ่ยถามอย่างอยากรู้ หลังจากที่เห็นฟ้ารดาหน้าแดงขึ้นมา
“ยังไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ! นี่พวกเธอดูวิวตรงนั้นสิ ส้วยสวย!” ฟ้ารดารีบเปลี่ยนเรื่องทันที พลางนึกไปถึงใครบางคนที่เธอเบี้ยวนัดแล้วขึ้นเครื่องหนีกลับไทย ไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นยังไงบ้าง
“แปลกเนอะ! วันที่แกรีบบินกลับไทยน่ะ พี่เพชรไปตามหาที่คอนโดฯ แน่ะ!” แพรณาราที่นานๆ จะได้เห็นฟ้ารดาเขินก็อดแหย่ต่อไม่ได้
“เขาไปตามหาฉันที่คอนโดฯ เหรอ?” ฟ้ารดาเอ่ยถามอย่างลืมตัว แพรณาราพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะวางแก้วกาแฟลง
“อะไรกัน เก็บเงียบเลยนะฟ้า แบบนี้ไม่แฟร์เลยอะ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” แพรลานนาที่ไม่รู้เรื่องรบเร้าอย่างสนใจ
“เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่มีอะไร ถ้ามีอะไรเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด เหมือนที่พวกเธอทั้งสองคนเล่าให้ฉันฟังแบบละเอียดไปเมื่อครู่แล้วกันนะ” ฟ้ารดาหาทางเอาตัวรอดจากสายตาที่จ้องจับผิดของเพื่อนสาวเลยประชดทั้งสองแทน เพื่อเปลี่ยนเรื่องแบบถาวร! เพราะทั้งแพรณาราและ แพรลานนาก็ยังไม่มีใครยอมเปิดปากเล่าแบบเชิงลึกสักคน
“ฉันว่าตอนนี้เราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ” แพรณาราที่เริ่มรู้สึกหิวเอ่ยชวนเพื่อยุติการพูดถึงเรื่องที่ยังไม่พร้อมจะเล่า
“เห็นด้วยอย่างยิ่ง” แพรลานนาไหลตามน้ำทันที เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะวนกลับมาเรื่องของเธออีกรอบ
“โอเค งั้นให้เจ้าถิ่นนำทางแล้วกัน” ฟ้ารดาแอบยิ้มกับอาการของสองสาวที่รีบเปลี่ยนเรื่องราวกับกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวี!
สามสาวทานอาหารที่สวนอาหารอีเดนเสร็จ ก็พากันไปแจกอุปกรณ์การเรียนให้กับเด็กชาวเขา ที่อยู่ในโรงเรียนกันดารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลพอสมควร เป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่มีเสาธงชาติไทยปักอยู่ตรงกลางลานกว้างๆ
ท่ามกลางความตื่นเต้นของเด็กๆ และความแปลกใจของครูที่กำลังสอนหนังสือ ซึ่งไม่คิดว่าจะมีนางแบบดังและเพื่อนสาวสวย อีกสองคนมาเยือนโรงเรียนที่ถนนหนทางลำบาก สร้างความตื้นตันใจไปทั่วทั้งครูและนักเรียนเลยทีเดียว
สามสาวเองก็ยิ้มแทบไม่หุบเพราะทางที่มานั้นต้องเรียกว่าน่ากลัวอย่างที่สุด แต่ละคนนั่งกันตัวเกร็ง แถมยังพากันเหยียบเบรกในจินตนาการแทนลุงชื่น คนขับกันเป็นแถว เรียกได้ว่างานนี้ปวดเท้าข้างขวากันถ้วนหน้าเลยทีเดียว แต่พอมาถึงแล้วเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ต้องบอกว่ามันคุ้มค่าที่ได้มาถึงที่นี่จริงๆ
ก่อนกลับลงมาครูที่โรงเรียนให้พวกเด็กๆ นักเรียนมาร้องเพลงให้กับสามสาวที่กำลังแจกของฟัง
{สายลมหนาว พัดโบกโบย พริ้วดูแล้ว สวยใสใส
เย็นลมเย็นไหวไหว สวยงาม
บ้านอยู่ไกลทุรกัน ดารโรงเรียนอยู่หลังเขา
มีแต่เราพวกเรา ไม่มีใคร
ยามร้อน แสนร้อน ยามหนาว ก็หนาวถึงใจ
ไม่มีผ้าห่มคลุมกาย
โรงเรียนมีครูหนึ่งคน ครูผู้เสียสละตน
อดทนอยู่ห่างไกล ความสบาย
ใช่จะวอนให้เห็นใจ ความสำนึกต่อเพื่อนไทย
ไทยกับไทยใยแตกต่างกัน
โรงเรียนของหนูอยู่ไกล ไกล๊ ไกล
อยากให้คุณคุณหันมอง...โรงเรียนของหนู}
หลังจากที่น้องๆ นักเรียนร้องเพลงเสร็จ สามสาวต่างก็ตาแดงก่ำพูดอะไรไม่ออก เพราะเนื้อเพลงนั้นมันสะท้อนความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
“ผมในฐานะครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ ขอขอบพระคุณพวกคุณทุกคนที่มาร่วมกันแบ่งปันรอยยิ้มให้แก่เด็กๆ บนดอย ขอบคุณมากๆ นะครับ ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เห็นคุณฟ้ารดานางแบบดังของไทยและเพื่อนๆ มายังที่ที่ทุรกันดารแบบนี้ บอกตรงๆ นะครับว่าพวกเราเหล่าครูที่สอนที่นี่ตื้นตันใจกันเป็นอย่างมากเลยครับ” ครูใหญ่ประจำโรงเรียนกล่าวขอบคุณทั้งสามสาว ที่ดูเหมือนแต่ละคนนั้นจะอยู่ในอาการจุกอกจนพูดอะไรไม่ออก
“จริงๆ เพื่อนของฟ้า มิกิเป็นคนต้นคิดค่ะว่าอยากจะมาแจกของให้เด็กนักเรียนที่อยู่บนดอย พวกเราก็เลยคุยกันแล้วให้แพรเป็นคนหาสถานที่ และที่สุดแล้วต้องขอขอบคุณลุงชื่นค่ะ ที่ขับรถพาพวกเรามาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย” ฟ้ารดาชี้แจงให้ทราบและแนะนำแต่ละคนที่มาด้วย
“ขอบคุณคุณมิกิ คุณแพร คุณฟ้าและลุงชื่นมากๆ นะครับ เดี๋ยวทางโรงเรียนขออนุญาตถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ไหมครับ ว่าอย่างน้อยพวกเราที่อยู่ในที่กันดารในป่าในเขาแบบนี้ ก็ไม่ได้ถูกละเลย” ครูใหญ่เอ่ย
สามสาวยิ้มกว้าง รีบเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วยก่อนจะตอบรับ
“ด้วยความยินดีค่ะ” แพรณาราเอ่ยพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ๆ เด็กชาวเขาที่ค่อนข้างจะมอมแมมอย่างไม่นึกรังเกียจ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ” ฟ้ารดาขยับเข้าไปอุ้มหนูน้อยวัยเจ็ดขวบมานั่งบนตักของตน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ้อมกอดอสูรไร้ใจ