ตอนที่ 149 ลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ
ลู่เฉินไม่เคยคิดมาก่อนว่า ย่านใจกลางเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแถวเมืองมหาวิทยาลัย จะมีโรงน้ำชาส่วนตัวแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางร่มไม้เขียวขจี
เขาใช้จีพีเอสของรถคันใหม่หาตำแหน่งไม่เจอ สุดท้ายจึงโทรหาเฉินเจี้ยนหาว โดยอาศัยการบอกทางของคนหลัง ถึงหาร้านเจอในที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงใช้เวลาไปไม่น้อย
โรงน้ำชาแห่งนี้ตั้งอยู่ในส่วนลึกของตรอกที่เงียบสงบริมทะเลสาบโฮ่วไห่ ซึ่งเป็นเรือนสี่ประสาน[1]ขนาดใหญ่ที่มีประวัติอันยาวนาน
ด้านหลังของเรือนสี่ประสานคือสวนสาธารณะริมทะเลสาบรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าเขียวขจี เห็นเพียงเถาวัลย์สีเขียวเลื้อยเต็มกำแพงเก่าๆ ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ป่าบานสะพรั่งกระจายไปทั่ว สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและงดงาม
เรือนสี่ประสานในเมืองหลวงแบบนี้ คาดว่ามีมูลค่าหลายล้านหยวน แต่กลับถูกใช้เปิดเป็นโรงน้ำชา
เห็นได้ชัดว่าอาคารภายในโรงน้ำชาได้รับการตกแต่งใหม่ และเป็นการตกแต่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ
เมื่อเข้ามาที่นี่ เสียงดีดเครื่องสายสบายๆ ทำให้คนรู้สึกคลายความกังวลจนหมดสิ้น
ภายใต้การนำของพนักงานบริการ ลู่เฉินจึงมาถึงห้องที่ตกแต่งหรูหราห้องหนึ่ง
ภายในห้องที่หรูหรานี้มีแขกนั่งอยู่สี่คนแล้ว เฉินเจี้ยนหาวคือหนึ่งในนั้น และอีกสามคนล้วนเป็นชายชราอายุหกสิบเจ็ดสิบปี พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาวชุดเดียวพร้อมกับรองเท้าผ้าสไตล์จีน กำลังนั่งคุยและดื่มน้ำชากัน
เมื่อเทียบกับชายชราที่สง่าเหล่านี้แล้ว เฉินเจี้ยนหาวจึงเป็นผู้น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย และมีท่าทางที่เคารพเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นลู่เฉินเข้ามา เขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวลู่มาแล้ว มาๆ ฉันจะแนะนำผู้อาวุโสสองสามคนให้นายรู้จัก”
ชายชราทั้งสามคนต่างหันหน้ามา และมองไปทางลู่เฉิน
ลู่เฉินตกตะลึงนิ่งอึ้งไป
เพราะเขารู้จักชายชราคนหนึ่งที่อยู่ในนั้น คือคนที่เขาเจอตอนออกกำลังบ่อยๆ ในสวนสาธารณะริมทะเลสาบ!
“พี่เจี้ยนหาว…”
ลู่เฉินทักทายเฉินเจี้ยนหาวก่อน จากนั้นก็ยิ้มพูดว่า “สวัสดีครับคุณปู่ ไม่เจอกันนานเลย”
อีกฝ่ายเห็นลู่เฉินก็ตกใจเหมือนกัน จากนั้นก็ทำเสียงเชอะหนึ่งที “บังเอิญจริง”
ดูเหมือนเขายังคาใจกับลู่เฉินไม่หาย
เฉินเจี้ยนหาวแปลกใจ “เสี่ยวลู่ นายรู้จักศาสตราจารย์เฉินด้วยเหรอ”
ชายชราคนนี้เป็นศาสตราจารย์เหรอ
ลู่เฉินพยักหน้า “ถือว่ารู้จักครับ แต่เมื่อก่อนผมไม่รู้ชื่อแซ่ของคุณปู่”
เฉินเจี้ยนหาวเข้าใจแล้ว จากนั้นจึงหัวเราะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะแนะนำให้นายรู้จักอย่างเป็นทางการ!”
ชายชราที่ลู่เฉินเจอบ่อยๆ ก่อนหน้านี้ชื่อว่าเฉินผู่ เป็นศาสตราจารย์สอนภาษาจีนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งซึ่งเกษียณแล้ว
ส่วนชายชราสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของศาสตราจารย์เฉินชื่อว่าเกาเยวี่ย เป็นศาสตราจารย์ด้านการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยดนตรีปักกิ่ง ซึ่งใกล้เกษียณแล้ว
และชายชรามีหนวดเคราสีเทาแกมขาวที่นั่งอยู่ด้านขวา ก็คือจางเหวินเทียนผู้กำกับชื่อดัง!
เฉินผู่กับเกาเยวี่ยสองศาสตราจารย์ ลู่เฉินไม่รู้สึกคุ้นหน้าและไม่เคยได้ยินชื่อของสองคนนี้มาก่อน
แต่ผู้กำกับจางเหวินเทียนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในปี 1990 เขาเคยกำกับละครฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘สามก๊ก’ และ‘วีรบุรุษเขาเหลียงซาน (ซ้องกั๋ง)’ สร้างสถิติเรตติ้งละครโทรทัศน์ทั้งสองเรื่องในตอนนั้น
เขายังเคยกำกับภาพยนตร์ย้อนยุคหลายเรื่อง ถนัดภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์และการทหาร เป็นผู้อาวุโสที่ได้รับรางวัลพิเศษอันทรงเกียรติบ่อยครั้งและเป็นที่ยอมรับอย่างสูงในวงการ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขากลับเงียบไป และไม่มีผลงานอะไรใหม่ๆ ออกมา
คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยเข้าใจจางเหวินเทียนมากเท่าไร แต่ลู่เฉินไม่ใช่หนึ่งในนั้นเด็ดขาด
ละครเรื่อง ‘สามก๊ก’ และละครเรื่อง ‘วีรบุรุษเขาเหลียงซาน (ซ้องกั๋ง)’ เขาเคยดูอยู่ที่บ้านมากกว่าหนึ่งรอบ
ดังนั้นตอนนี้ได้เจอจางเหวินเทียนตัวเป็นๆ เขารู้สึกเหมือนได้เจอไอดอลตัวจริงอย่างไรอย่างนั้น!
แน่นอนไม่ว่าจะเป็นจางเหวินเทียน หรือว่าเฉินผู่และเกาเยวี่ย ลู่เฉินล้วนให้ความเคารพและสุภาพเป็นอย่างมาก
สำหรับท่าทางการเคารพของลู่เฉิน ผู้อาวุโสทั้งสองคนมีความรู้สึกที่ดีมาก
เฉินผู่พูดกับจางเหวินเทียนว่า “พ่อหนุ่มคนนี้ก็คือคนที่ฉันอัดวีดีโอให้นายดู ที่ฝึกมวยแบบมั่วๆ คนนั้น”
จางเหวินเทียนจึงเข้าใจทันที “ฉันจำได้แล้ว พ่อหนุ่มคนนี้ฝึกมวยหย่งชุน แต่กระบวนท่าไม่ค่อยถูกนิดหน่อย”
เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับลู่เฉิน “คนรุ่นใหม่สมัยนี้ชอบศิลปะการต่อสู้ของจีนน้อยมาก พวกเขาเปลี่ยนไปฝึกมวยสากลและเทควันโดที่ได้รับการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ถ้าหากนายชอบศิลปะการต่อสู้ ฉันแนะนำผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งให้นายรู้จักได้”
มวยสากลและเทควันโดล้วนเป็นรายการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก มีการแข่งขันสูง ด้วยเหตุนี้จึงมีอิทธิพลไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะเทควันโดที่เป็นที่นิยมในระยะหนึ่ง ผู้ปกครองในประเทศจำนวนมากจะส่งลูกหลานไปเรียน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงและฝึกฝนสมาธิของพวกเขา ทำให้โรงเรียนศิลปะการต่อสู้เทควันโดผุดขึ้นไปทั่วเมืองต่างๆ
เมื่อเทียบกับศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมของจีนที่มีกระบวนท่าการฝึกที่จริงจัง เน้นไปที่ลักษณะของการชื่นชมและมีศิลปะ จึงมีคนเรียนน้อยมาก
จากการเปลี่ยนแปลงของศิลปะการต่อสู้มวยสานต่า[2]ที่เน้นไปที่การแข่งขันและการต่อสู้จริง แต่ด้วยท่วงท่าที่โหดร้ายเกินไป เช่นดียวกับคิกบ็อกซิ่งและมวยไทย จึงไม่เป็นที่นิยมสำหรับบุคคลทั่วไป
ศิลปะการต่อสู้ที่ลู่เฉินฝึกมีต้นกำเนิดมาจากความทรงจำของโม่หราน วิธีการถ่ายทอดและพัฒนาจึงแตกต่างไปจากโลกใบนี้ และไม่ใช่การฝึกแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความหวังดีของจางเหวินเทียน ดังนั้นเขาจึงกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณผู้กำกับจางครับ”
เฉินเจี้ยนหาวไม่รู้ว่าลู่เฉินมีความรู้เรื่องศิลปะการต่อสู้ พอได้ยินจึงเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่ลืมเรื่องสำคัญ แล้วจึงพูดแทรกกับเกาเยวี่ยว่า “ลุงเกาครับ เสี่ยวลู่เขาอยากไปนั่งฟังบรรยายในชั้นเรียนที่จิงอิน ลุงช่วยเขาหน่อยสิครับ”
เกาเยวี่ยยิ้มพูดว่า “ในเมื่อเจี้ยนหาวเอ่ยปากแล้ว ฉันที่เป็นลุงคนนี้ถ้าไม่รับปากก็คงแย่สินะ”
เขาหยิบนามบัตรและปากกาออกมา แล้วเขียนตัวหนังสือเล็กๆ สองสามบรรทัดกับลายเซ็นลงบนช่องว่างด้านหลังนามบัตรอย่างรวดเร็ว
หลังจากเขียนเสร็จแล้ว เกาเยวี่ยก็ยื่นนามบัตรนี้ให้ลู่เฉิน กล่าวว่า “นายถือมันแล้วไปติดต่อหัวหน้าหลู่ที่ฝ่ายวิชาการ เบอร์โทรศัพท์ของหัวหน้าหลู่อยู่บนนั้น เดี๋ยวเขาจะจัดการให้นายเอง”
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าจะแก้ไขปัญหาได้ง่ายดายขนาดนี้ จึงรีบพูด “ขอบคุณศาสตราจารย์เกาครับ!”
พอยิ่งทำความเข้าใจดนตรีมากขึ้น เขาก็รู้สึกว่าตัวเองยังมีความรู้ไม่พอ
ดังนั้นลู่เฉินจึงเคยมีความคิดที่จะไปเรียนในสถาบันการศึกษาระดับสูงมานานแล้ว แน่นอนว่าเงื่อนไขในการสมัครสอบเข้าเรียนของเขาไม่มี การแอบเข้าไปฟังบรรยายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มีความอิสระสูงทั้งด้านการทำงานและเวลา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar