ตอนที่ 272 ให้โอกาสแสดงความสามารถ
เช้าวันถัดมาหลังจากปิดกล้องละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เฉินเฟยเอ๋อร์ออกจากจินหลิงกลับไปปักกิ่ง
เธอพาผู้ช่วยกลับไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้ตั้งใจอำลาลู่เฉินเป็นพิเศษ
คู่รักในวงการคบและเลิกกันเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้ทั้งสองคนเพิ่งจะคบกันไม่นาน แต่ก็คุ้นชินกับการแยกจาก คุ้นชินที่แต่ละคนทำงานยุ่งจนไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้ากันอีกตอนไหน
ลู่เฉินตื่นมาออกกำลังกายตอนเช้าเป็นปกติเหมือนเดิม หลังจากกินข้าวเช้าแล้วก็ไปพบจางเต๋อ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ ด้วยกัน…ที่แห่งนั้นคือป้อมพันปี
โรงถ่ายจินหลิงเป็นหนึ่งในสามโรงถ่ายทำภาพยนตร์โทรทัศน์ขนาดใหญ่ในประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ขนาดยักษ์ ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่าสิบปี มีทั้งถนนสไตล์ฮ่องกง ถนนสไตล์สาธารณรัฐ พระราชวังสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง พระราชวังสมัยราชวงศ์ฉิน ฉากจำลองบรรยากาศริมแม่น้ำในเทศกาลเชงเม้ง วัดและศาลเจ้า เป็นต้น ทั้งหมดเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่จำลองมาจากของจริง นอกจากนี้ยังมีบ้านพักตากอากาศซีโทเปีย ทะเลทรายโกบี หน้าผาภูเขาเซียน เป็นต้น ที่เลียนแบบมาจากทิวทัศน์ธรรมชาติ
ฉากเทียมที่ลงทุนด้วยเงินมหาศาลเหล่านี้ ทำให้กองถ่ายภาพยนตร์โทรทัศน์ที่มาจากทั่วประเทศสามารถหาฉากที่ต้องการได้อย่างพอใจ ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก
หากเป็นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน นี่คือเรื่องที่ยากจะจินตนาการ ตอนที่สถานีโทรทัศน์กลางถ่ายทำและผลิตละครฟอร์มใหญ่ มักจะเสียเวลาสองสามปีตลอด ต้องเดินทางสำรวจโลเคชั่นทั่วประเทศ ไม่รู้ว่าเปลืองกำลังคนไปมากเท่าไร
ตอนนี้การถ่ายทำภาพยนตร์และละครรวดเร็วขึ้นมาก อย่างละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ทั้งยี่สิบตอนก็ถ่ายทำเสร็จในจินหลิงทั้งหมด กองถ่ายไม่ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ดังนั้นจึงสามารถถ่ายทำเสร็จภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือน
เพียงแต่หากเทียบกับเมื่อก่อน ค่าจ้างของนักแสดงไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นกี่เท่า แล้วก็ยังมีงานตัดต่อเบื้องหลังที่ยิ่งผลาญเงินก้อนใหญ่ โปรดักชั่นใหญ่เผลอแป็บเดียวก็ใช้เงินไปร้อยล้านกระทั่งสองสามร้อยล้าน
โดยเฉพาะค่าจ้างของนักแสดง ตอนนี้ถ้าเชิญดาราดังแถวหน้ามาถ่ายละครโทรทัศน์ หนึ่งตอนต้องจ่ายสองสามแสนเป็นอย่างน้อย เงินสองสามล้านถูกใช้จ่ายออกไปหลังจากที่ถ่ายทำละครยาวเรื่องหนึ่ง ค่าจ้างของภาพยนตร์ก็น่าตกใจเช่นกัน
ลู่เฉินรับบทนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ ราคาที่อีกฝ่ายจ่ายให้คือสองแสน
ใกล้บริเวณป้อมของเมืองโบราณแห่งหนึ่ง ลู่เฉินมองเห็นหลูจื้อหย่งผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’
หลูจื้อหย่งอายุสามสิบกว่าย่างสี่สิบปีแล้ว เขาถูกเรียกว่าเป็นผู้กำกับรุ่นที่เจ็ดของประเทศ มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์พอสมควร ถนัดถ่ายหนังย้อนยุค
ภาพยนตร์ ‘ฮั่นอู่ตี้จอมราชัน’ เป็นภาพยนตร์เรื่องที่หกที่เขาได้กำกับ และเป็นเรื่องหนึ่งที่ลงทุนเยอะที่สุด
ภาพยนตร์เรื่องนี้เชิญนักแสดงดาราดังแถวหน้าของประเทศมาร่วมงานมากมาย ถือว่าเป็นการรวมตัวของหมู่ดาวอันเจิดจรัส ส่วนบทที่ลู่เฉินรับเล่นมีชื่อว่าเฉินเจีย เป็นรองแม่ทัพคนหนึ่งของแม่ทัพทหารม้าฮั่วชวี่ปิ้ง
ลู่เฉินอ่านบทมาแล้วระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ มีแค่บทพูดสองประโยคและถ่ายสองสามช็อตเท่านั้น
เงินสองแสนได้มาสบายมากจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะช่วงนี้เขาโด่งดังจากละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ละก็ เรื่องดีๆ อย่างการได้แขวนชื่ออยู่ในโปสเตอร์แบบนี้คงไม่ตกมาถึงเขา
แน่นอนถ้าอยากจะโผล่หน้าทำเงินจากหนังเรื่องนี้ อย่างแรกลู่เฉินจะต้องได้รับการยอมรับจากหลูจื้อหย่งก่อน
ผู้กำกับคนนี้ผอมสูง สวมแว่นตากรอบดำมาดเหมือนนักวิชาการมาก แต่นิสัยกลับแข็งแกร่งและดื้อรั้นมากทีเดียว
จางเต๋อรู้จักหลูจื้อหย่ง ยามที่อยู่ต่อหน้าผู้กำกับคนนี้เขาก็ยังก้มหน้าทักทายอย่างเชื่อฟัง “สวัสดีครับผู้กำกับหลู”
หลูจื้อหย่งขานรับว่า ‘อืม’ หนึ่งที สายตามองไปที่ตัวลู่เฉิน “นี่คือนักแสดงที่พวกคุณแนะนำ?”
จางเต๋อยิ้มเอ่ยว่า “ใช่ครับ เขาชื่อลู่เฉิน เพิ่งถ่ายละครเสร็จครับ”
ลู่เฉินกล่าวอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับผู้กำกับหลู รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รู้จักคุณครับ”
ไม่ว่าวงการไหนล้วนมีกฎด้วยกันทั้งสิ้น วงการบันเทิงกับวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ก็ไม่ยกเว้น เขาเป็นเด็กหน้าใหม่เพิ่งเดบิวต์ไม่นาน ถึงแม้จะโด่งดังรุ่งโรจน์ เมื่อเห็นผู้อาวุโสก็ต้องนอบน้อมมีมารยาท ไม่อย่างนั้นจะถูกขจัดออกได้ง่าย
คนที่หยิ่งยโสโอหัง ต่อให้มีคนหนุนหลังแข็งแกร่งแค่ไหน ช้าเร็วก็ต้องหัวร้างข้างแตก
หลูจื้อหย่งมีสีหน้าไม่ค่อยดีกับลู่เฉินเท่าไรนัก เขาถามตรงๆ ทันที “คุณขี่ม้าเป็นไหม”
ลู่เฉินตอบอย่างไม่รีบร้อน “เป็นครับ”
เขาเคยขี่ม้าตอนไปเที่ยวทุ่งหญ้ากับพ่อแม่ และโม่หรานที่อยู่ในโลกของความฝันก็เรียนขี่ม้ามาโดยเฉพาะ จึงไม่มีปัญหาใดๆ ในการควบคุมม้าที่ฝึกมาแล้วในกองถ่าย
หลูจื้อหย่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หันหน้าไปบอกเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวหวัง นายไปเอาม้าสักตัวมาให้เขาลองขี่ดูหน่อย”
“ครับผู้กำกับ!”
เด็กหนุ่มวัยรุ่นตอบรับอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็จูงม้าสูงใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามา
เสี่ยวหวังคนนั้นที่น่าจะเป็นผู้ช่วยยื่นสายบังเหียนให้ลู่เฉิน แล้วเอ่ยว่า “คุณไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน ถ้าหากตกลงมากระดูกหัก กองถ่ายของพวกเราไม่รับผิดชอบนะครับ”
เขาพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม มีความหมายที่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย
แสงอาทิตย์สดใสพลันสว่างกลางใจของลู่เฉิน
เขาเห็นม้าตัวนี้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องเล่นอะไรตุกติกแน่นอน คงอยากเห็นความตลกของเขาเป็นแน่
ในโรงถ่ายจะมีสนามม้าโดยเฉพาะ เอาไว้ให้กองถ่ายเช่าม้าถ่ายทำ การเลือกม้าขึ้นอยู่กับตัวบุคคล มีนักแสดงบางคนขี่ม้าไม่เป็นหรือขี้ขลาด ก็จะเลือกม้าที่ว่านอนสอนง่ายแรงน้อยให้พวกเขา แค่ขึ้นไปนั่งวางท่าก็พอแล้ว
แต่ก็มีบางครั้งที่มีความต้องการสูง จำเป็นต้องถ่ายผลงานให้ออกมาดี เช่นนั้นม้าที่เลือกใช้ย่อมไม่ใช่ม้าธรรมดา คนที่ไม่เข้าใจทักษะการขี่ม้าเลยสักนิดจะขึ้นไปควบม้าไม่ได้ หากตกลงมาเพียงแค่หน้าบวมก็ถือว่าโชคดีแล้ว
ม้าที่เด็กหนุ่มคนนี้จูงเข้ามาเป็นม้าที่ดีตัวหนึ่ง แต่ไม่ใช่ม้าที่เอาไว้ให้มือใหม่ขี่
อีกฝ่ายอยากเห็นความตลกของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นักแสดงที่ไม่มีประสบการณ์ เจอม้าตัวสูงใหญ่แบบนี้ ส่วนมากจะขี้กลัว
ลู่เฉินเหลือบมองอีกฝ่ายโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า รับสายบังเหียนมาอย่างไม่ลังเล…อยากเห็นเขาเป็นตัวตลกเหรอ
อย่างนั้นก็เป็นเรื่องตลกจริงๆ!
ตอนนี้หลูจื้อหย่งจึงเอ่ยปาก “เปลี่ยนอีกตัว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar