(นิยายแปล) Perfect Superstar นิยาย บท 344

ตอนที่ 344 ปฏิเสธ

ศูนย์ศิลปะยุคใหม่ สตูดิโอลู่เฉิน

เมื่อเทียบกับที่เดิม สตูดิโอใหม่ไม่เพียงแต่มีพื้นที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า ลักษณะการจัดรูปแบบก็ไกลเกินกว่าที่ตึกสำนักงานเก่าจะเทียบได้ เพื่อสร้าง ‘บ้านใหม่’ หลังนี้ ลู่เฉินได้มอบความไว้วางใจให้บริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในเมืองหลวงดำเนินการออกแบบตกแต่งและก่อสร้างเป็นพิเศษ

ลำพังแค่ค่าออกแบบอย่างเดียว เขาก็ต้องจ่ายเงินไปห้าแสนหยวนแล้ว…นี่ยังถือว่าเป็นราคามิตรภาพ

ดังคำกล่าวที่ว่าคุณภาพตามราคา สตูดิโอใหม่ที่ลงทุนเงินก้อนโตเพื่อตกแต่งมีสไตล์และอารมณ์ของบริษัทศิลปะเป็นอย่างมาก สไตล์การตกแต่งโดยรวมมีความเรียบง่ายชัดเจน สว่างไสวมีชีวิตชีวา และละเอียดประณีต

ในที่สุดลู่เฉินก็มีห้องทำงานเป็นของตัวเองสักที ยามที่ต้อนรับเพื่อนและแขกก็มีสถานที่ลับส่วนตัวแล้ว

ส่วนที่เช่าเดิมก็ไม่ได้ปล่อยให้ว่างหรือปล่อยให้เช่าช่วง แต่ทำเป็นสำนักงานของมูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟย ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงตกแต่งใหม่

ขณะนี้ในห้องทำงานของลู่เฉิน มีแขกอยู่คนหนึ่ง

อีกฝ่ายมีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี สวมชุดสูทผูกเน็กไทดูมีมารยาทและสุภาพ เขามีรูปร่างค่อนข้างผอมสูง โหนกแก้มสูงนิดหน่อย ดวงตาค่อนข้างเล็กเหมือนจะสายตาสั้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้สวมแว่นตา ทว่ามักจะหรี่ตาเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ

บรรยากาศภายในห้องอึดอัดเล็กน้อย ลู่เฉินอ่านสัญญาฉบับหนึ่งที่ถืออยู่ในมืออย่างตั้งใจ นิ้วชี้ขวาที่วางอยู่บนโต๊ะพลางเคาะเบาๆ สองที เผยอารมณ์ที่อยู่ในใจของเขาในขณะนี้ออกมาเล็กน้อย

ผู้ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีคนนี้ชื่อว่าฟางจวิน เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฟางฮุ่ย และเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของคนหลัง

สัญญาที่อยู่ในมือของลู่เฉิน ก็คือสัญญาที่ฟางจวินเป็นคนพกมา

ประเด็นสำคัญของเนื้อหาในสัญญาคือฟางฮุ่ยในฐานะผู้กำกับ กับข้อตกลงค่าจ้างในละครเรื่องใหม่ของลู่เฉิน

‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ กำกับการแสดงประสบความสำเร็จโดยฟางฮุ่ย ตอนนั้นเธอเซ็นสัญญากับสตูดิโอลู่เฉินโดยตรง ดังนั้นหลังจากถ่ายทำเสร็จแล้ว ทางสตูดิโอจึงจ่ายเงินให้เธอ

ลู่เฉินร่วมงานกับฟางฮุ่ยอย่างมีความสุขมาก บวกกับ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ต่อมาภายหลังเขากับเฉินเฟยเอ๋อร์จึงส่งอั่งเป่าซองใหญ่สองซองไปให้เธอโดยเฉพาะ

เนื่องจากความสำเร็จของ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ความดีความชอบส่วนใหญ่ก็มาจากฟางฮุ่ย เธอจับเนื้อเรื่องได้เก่งมากถ่ายทอดอารมณ์ของเรื่องราวออกมาได้ชัดเจน หากเป็นคำพูดของคนนอกวงการก็คือถ่ายทำได้ ‘สวย’ มาก

ดังนั้นลู่เฉินจึงอยากให้ฟางฮุ่ยมากำกับละคร ‘ฟูลเฮ้าส์’ และก็ตกลงร่วมงานกันเรียบร้อยแล้ว

ทว่าเรื่องกลับไม่ง่ายขนาดนั้น

ผู้จัดการส่วนตัวของฟางฮุ่ยนำสัญญาฉบับหนึ่งมาหาลู่เฉิน จะพูด…อย่างไรดี สัญญาฉบับนี้ค่อนข้างเยอะเกินไป

ในสัญญาฉบับนี้ ค่าจ้างของผู้กำกับฟางฮุ่ยมากกว่าตอนที่ถ่ายทำ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ถึงยี่สิบเท่า มากถึงห้าล้านหยวน นอกจากนี้ยังต้องการแบ่งปันผลประโยชน์อีกหลายรายการ รวมทั้งส่วนแบ่งลิขสิทธิ์บางส่วน!

ลำพังค่าจ้างห้าล้านหยวน ลู่เฉินยังพอรับได้ ค่าจ้างที่ฟางฮุ่ยได้รับตอนที่กำกับ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ คือสองแสนห้าหมื่นหยวน สำหรับค่าตัวของเธอในตอนนั้นถือว่าไม่ต่ำ แต่ไม่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่นอกเหนือจากนี้

จะว่าไปแล้วก็เหมือนติดหนี้เธอ เพราะฉะนั้นจึงยัดอั่งเปาให้เธอในตอนหลัง…นี่คือหลักของการเป็นมนุษย์

ตอนนี้กำลังจะถ่ายทำละครเรื่องใหม่ การเพิ่มค่าจ้างของผู้กำกับจึงเป็นเรื่องที่แน่นอน

วงการภาพยนตร์โทรทัศน์ในปัจจุบัน ผู้กำกับใหญ่ตำแหน่งสูงได้ส่วนแบ่งกำไรที่อยู่นอกเหนือจากค่าจ้างคือปรากฏการณ์ที่ธรรมดามาก รายละเอียดข้อตกลงในสัญญาจะเกี่ยวข้องการสถานการณ์ตามความเป็นจริง ผู้กำกับชั้นนำถ่ายหนังใหญ่หรือละครเรื่องยาวสามารถทำกำไรได้หลายสิบล้านก็มีถมไป

ทางฟางฮุ่ยเสนอว่าต้องการส่วนแบ่งกำไร จึงเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เกี่ยวกับส่วนเบ่งลิขสิทธิ์ ลู่เฉินไม่สามารถรักษาจิตใจให้สงบได้

เขาให้ความสำคัญกับลิขสิทธิ์มาตลอด อย่างเช่นผลงานของตัวเอง ก็จะจดทะเบียนลิขสิทธิ์ก่อนเป็นอย่างแรกตอนนี้ขายเพลงให้คนอื่นก็ยังรักษาส่วนของลิขสิทธิ์เอาไว้ อย่าง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ‘ฟูลเฮ้าส์’ ละครที่ฮิตแน่นอนเหล่านี้ จำเป็นต้องจับลิขสิทธิ์ไว้ในมือให้แน่น จะให้คนอื่นฉกไปไม่ได้

ผลงานลิขสิทธิ์นำผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มาให้และยังยั่งยืน การแบ่งกำไรจึงถูกคนนำไปหาผลประโยชน์ได้ง่าย

ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นการเตรียมละครใหม่ ผู้ร่วมทุนของลู่เฉินก็มีไม่น้อย ลงทุนหลายฝ่ายแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ส่วนของลิขสิทธิ์ เขาไม่ยอมปล่อยให้ใครง่ายๆ…นี่เป็นเรื่องที่ปกติ!

ลู่เฉินอดแปลกใจไม่ได้ ในความทรงจำของเขา ฟางฮุ่ยไม่ใช่คนโลภแบบนั้น ค่าจ้างที่เธอต้องการก็เหมาะสมกับค่าตัวของเธอ แต่เกี่ยวกับส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ดูเหมือนจะเกินไปหน่อย

ลู่เฉินเงียบอยู่นานทำให้ฟางจวินรู้สึกไม่สบายใจ เขาขยับก้นไปมา แล้วลองถามว่า “อาจารย์ลู่ สัญญาฉบับนี้ถ้าหากคุณมีข้อคิดเห็นหรือความคิดอะไร ก็สามารถพูดกับผมตอนนี้ได้เลยครับ”

ลู่เฉินเหลือบมองอีกฝ่ายโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ในวงการบันเทิง ศิลปินดารารวมทั้งผู้กำกับใช้ญาติสนิทของตัวเองเป็นผู้จัดการส่วนตัวมีให้เห็นทั่วไป อย่างเช่นผู้จัดการส่วนตัวของเขาก็คือพี่สาวแท้ๆ ของตัวเขาเอง

ใช้ญาติสนิทเป็นผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองมีข้อดีที่ใหญ่สุดคือความไว้วางใจ โดยทั่วไปไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอกขายหรือแทงข้างหลัง

ฟางฮุ่ยตอบรับคำเชิญของลู่เฉิน ยินดีที่จะกำกับละครเรื่องใหม่ของเขาต่อ จากนั้นก็ให้ผู้จัดการส่วนตัวมาเจรจาเรื่องค่าจ้างเป็นเรื่องที่ปกติมาก ทุกคนแยกเรื่องงานกันชัดเจนก็ไม่มีปัญหาที่จะต้องเกรงอกเกรงใจไว้หน้ากันเวลาเจรจา

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา

เขาคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เดิมที สตูดิโอของพวกเราหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญา ผู้จัดการของพวกเราจะเป็นคนเจรจา แต่วันนี้พี่สาวของผมเพิ่งออกไปข้างนอก…”

ลู่เฉินเปลี่ยนประเด็น แล้วกล่าวว่า “ผมอ่านสัญญาฉบับนี้แล้ว อย่างอื่นพอคุยกันได้ แต่ส่วนของลิขสิทธิ์เกรงว่าจะคุยกันไม่ได้ครับ และผมรู้สึกว่าส่วนแบ่งกำไรที่พวกคุณต้องการสูงเกินไป!”

ประโยคสุดท้ายสองสามประโยค ลู่เฉินพูดอย่างเฉียบขาดด้วยสีหน้ายืนหยัด

นี่คือข้อดีที่ได้เจอผู้จัดการส่วนตัว ไม่อย่างนั้นถ้าหากอีกฝ่ายคือฟางฮุ่ย มีบางคำเกรงใจที่จะพูด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar