ตอนที่ 809 แม่ชีตัวน้อย
นอกจากผู้กำกับเฉินกั๋วจื้อแล้ว ลู่เฉินยังได้พบกับนักแสดงนำคนอื่นๆ ของภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’
‘กระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ที่เป็นภาคแรกของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ หากกล่าวถึงทัพนักแสดงแล้วละก็ นั่นคือการรวมดาว ลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์ หลิวกั่งเซิง และถานหงล้วนเป็นคนดังที่มีชื่อเสียงอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งเมื่อรวมผู้กำกับยิ่งใหญ่อย่างเฉินกั๋วจื้อเข้าไปด้วย พูดได้เลยว่านี่เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่น่าติดตามที่สุดในปีนี้
นอกจากนี้ซือฟางยังตั้งใจที่จะปรากฏตัวเป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร ภาคกระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ มีชื่อที่โดดเด่นเพิ่มขึ้นมาอีกชื่อหนึ่งในลิสต์นักแสดง
นอกจากนักแสดงนำหลักชื่อดังแล้ว นักแสดงสมทบที่สำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นที่รู้จัก เช่น กู่หย่งจวินที่รับบทเป็นเยวี่ยปู้ฉวิน หม่าหรงเจินที่รับบทเป็นชวีหยาง และซาจิ่งเย่าที่รับบทเป็นจั่วเหลิ่งฉาน ต่างก็ล้วนเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่มีชื่อเสียงและมีทักษะการแสดงสูงมาก
ที่จริงแล้วนับตั้งแต่ที่เฉินเฟยมีเดียได้เผยแพร่ข่าวการถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ บริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์หลายแห่งและแม้แต่ศิลปินดาราต่างก็เริ่มมาแนะนำตัวเอง แม้แต่บทบาทสมทบเล็กๆ ธรรมดาๆ ก็ยังแย่งกันหัวแตก
ทางเฉินเฟยมีเดียแน่นอนว่าต้องเลือกนักแสดงที่ดีที่สุด นักแสดงที่ถูกเลือกล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงมากประสมการณ์ที่เข้ากับบทบาทได้ รวมทั้งคัดเลือกนักแสดงหน้าใหม่ด้วย โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้พิจารณาพวกหนุ่มหน้าละอ่อนที่กำลังเป็นที่นิยมเลย พวกเขาให้ความสำคัญกับ ‘ความคุ้มค่า’ มากกว่า
แต่ก็ยังมีผู้จัดการของนักแสดงหนุ่มหน้าละอ่อนหลายคนที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ และเงื่อนไขที่พวกเขาเสนอนั้นก็ทำเอาพูดไม่ออกเลยทีเดียว
มีนักแสดงหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเสนอตัวต่อเฉินเฟยมีเดียผ่านผู้จัดการของเขาว่ายินดีที่จะรับบทหลินผิงจือ โดยลักษณะและท่าทางภายนอกของเขาเหมาะสมกับบทบาทนี้เป็นอย่างมาก ทั้งยังมีคุณค่าทางการตลาดสูงมากๆ อีกด้วย
ในตอนนั้นลู่ซีก็ประทับใจอยู่บ้าง
แต่ผู้จัดการของเขาขอค่าตอบแทนที่ห้าสิบล้าน บวกกับส่วนแบ่งการจำหน่ายตั๋วห้าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้ลู่ซีไม่สามารถเจรจาต่อไปได้เลย
หากคำนวณยอดจำหน่ายตั๋วของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร ภาคกระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ที่หนึ่งพันล้าน จะต้องแบ่งให้คนคนนี้ไปห้าสิบล้านโดยไม่รวมต้นทุน บวกกับค่าตัวพื้นฐานอีกห้าสิบล้าน อย่างนั้นก็เท่ากับหนึ่งร้อยล้าน
หากนำเงินหนึ่งร้อยล้านนี้ไปทุ่มกับการถ่ายทำและการทำเอฟเฟกต์พิเศษ แล้วยอดจำหน่ายตั๋วยังเทียบไม่ได้กับคุณค่าทางการตลาดของดาราคนนี้อีกละก็ อย่างนั้นเฉินเฟยมีเดียก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องถ่ายภาพยนตร์กันแล้ว
และถ้าให้เขาหนึ่งร้อยล้านจริงๆ อย่างนั้นลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์ และหลิวกั่งเซิงจะต้องได้ค่าตัวเท่าไรล่ะ
ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้จัดการของเขาจะบอกว่าสามารถต่อรองได้ แต่ลู่ซีก็ปฏิเสธตัดบททันที ต่อมาก็ได้เล่าให้ลู่เฉินฟังคร่าวๆ เธอแทบจะไม่หยิบมาใส่ใจเลย
แน่นอนว่าลู่เฉินให้การสนับสนุนพี่สาวของเขาอย่างเต็มที่ สำหรับภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่เขาสร้าง เขาไม่เคยใช้เงินเป็นจำนวนมากในการเลือกนักแสดงเลย แต่ให้ความสำคัญกับการลงทุนทั้งก่อนการถ่ายทำและการผลิตหลังการถ่ายทำ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ มีนักแสดงที่มีความสามารถระดับชั้นนำแต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอยู่มากมาย การเรียกค่าตัวของพวกเขามักจะสมเหตุสมผล และความเป็นมืออาชีพของพวกเขานั้นก็มากกว่าพวกหนุ่มหน้าละอ่อนที่ถูกแฟนคลับเอาอกเอาใจจนเสียคนมากนัก
ในทำนองเดียวกัน ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในระดับล่าง พวกเขาเต็มใจที่จะยอมสละค่าตอบแทนและผลประโยชน์ทั้งหมดเพื่อบทบาทเล็กๆ น้อยๆ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือโอกาสเท่านั้น
ชื่อเสียงของลู่เฉินในฐานะ ‘นักปั้นมือทอง’ และ ‘เครื่องปั้นดาว’ พูดได้ว่าเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงบันเทิง
ท้ายที่สุด บทหลินผิงจือนี้ ก็ตกเป็นของคนหน้าใหม่ที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งมาแล้วสองปี ก่อนร่วมงานกับ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เขาเคยเล่นบทบาทสมทบเล็กๆ ในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์สองสามเรื่อง ซึ่งดีกว่าบทตัวประกอบที่ไม่มีบทพูดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะได้รับบทบาทสำคัญนี้ และเรื่องราวของการได้มาก็สามารถสร้างเป็นละครโทรทัศน์ได้เลย
แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาได้ง่ายๆ เหมือนกัน
“พี่ลู่เฉิน พี่เฟยเอ่อร์”
หญิงศีรษะล้านคนหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลังเฉินกั๋วจื้อ และทักทายลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ่อร์อย่างเหนียมอาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar