เสี่ยวเยว่เฟิงซึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าของเรือน ขมวดคิ้วและพูดว่า “อารามนวดารา อะไร? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
ขนาดชื่อสำนักต่าง ๆ ที่อยู่ในอาณาเขตนภา นางยังรู้จักได้ไม่หมด แล้วจะนับประสาอะไรกับชื่อของสำนักที่อยู่ในอาณาเขตอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไป
“มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะเคยได้ยินชื่อของอารามนวดาราของพวกข้ารึเปล่า แต่สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือมอบเรือนนี้ให้กับพวกข้า” ชายผู้มีหนวดเต็มใบหน้าไม่รู้สึกอะไรกับการที่นางไม่รู้จักชื่อสำนักของเขาและพูดอย่างใจเย็น
“ไม่!” เสี่ยวเยว่เฟิงตอบกลับอย่างเย็นชาและหันหลังกลับ
ครั้งก่อนที่เคยมีคนมาที่นี่เพื่อมาก่อกวนพวกนาง ในตอนนั้นเสี่ยวเยว่เฟิงเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมาที่นี่ แต่ในครั้งนี้นางได้รู้ถึงเหตุผลการมาของคนกลุ่มใหม่นี้อย่างชัดเจน
เนื่องจากการผันผวนของพลังวิญญาณอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในเรือนและมันดันเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะเจาะ ซึ่งใกล้กับจะถึงวันที่กล้วยไม้หยกจะเบ่งบานขึ้น นางจึงเข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงมาที่นี่
อย่างไรก็ตามในใจของนางกำลังยิ้มอย่างขมขื่นเพราะอันที่จริงแล้วในเรือนนี้ไม่มีกล้วยไม้หยกใด ๆ ทั้งสิน มันจะมีก็แต่เพียงการบ่มเพาะแบบคู่ของนายท่านของนางกับภรรยาของเขาก็เท่านั้น
นางไม่รู้ว่าเหตุใดการบ่มเพาะแบบคู่จึงสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ทุกครั้ง แต่นางรู้ได้อย่างชัดเจนว่านางไม่สามารถรบกวนได้
“แม่นาง อย่าเย็นชานักสิ!” ชายผู้มีเคราพูด “ข้าอุตส่าห์คุยกับเจ้าอย่างสุภาพแล้วนะ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะให้เกียรติพวกข้าบ้างสักหน่อยเพราะมันจะเป็นผลดีต่อตัวเจ้าเองในอนาคต!”
หลังจากชายมีเคราพูดจบ จู่ ๆ ร่างของเย่หยูหลันก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าเรือน นางมองไปที่ชายมีเคราและพูดว่า “เจ้าจงพาคนของเจ้าไปที่อื่นซะ ที่นี่ถูกยึดครองโดยพวกข้า สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว!”
อันที่จริง เย่หยูหลันเองก็หมดทางเลือก ถ้าหากนางไม่ปรากฏตัวออกมาและแจ้งชื่อสำนักของนาง นางคิดว่าคงมีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์มันจะต้องปะทุขึ้นจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ซึ่งมันจะยิ่งทำให้เรื่องราวยิ่งบานปลาย
เมื่อได้ยินเย่หยูหลันประกาศตัวว่ามาจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ชายมีเคราก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในขณะที่เขาพยักหน้าและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายผู้มีเกียรติจาก สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ นี่เอง ข้าต้องขออภัยด้วยที่มารบกวนพวกท่านเช่นนี้ ข้าขอตัวลา!”
หลังจากพูดจบเขาก็รีบหันกลับและจากไปทันที
ส่วนผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังเขาก็ไม่ได้แสดงตัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
หรือต่อให้เขาจะแสดงตัวออกมามันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วทุกภูมิภาค สิ่งที่พวกเขาทำได้นั้นก็มีแค่เพียงต้องยอมหลีกทางให้เพียงแค่เท่านั้น
ในขณะนี้บรรดาผู้สังเกตการณ์โดยรอบที่ยินชื่อของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นมา พวกเขาต่างก็ค่อย ๆ ถอยจากไปอย่างเงียบ ๆ
“มันจบแล้ว พวกเราคงไม่มีโอกาสฉกกล้วยไม้หยกได้แล้วในครั้งนี้!”
“บ้าจริง ๆ ทำไมคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้? ทำไมพวกเขาถึงต้องมาแย่งชิงกล้วยไม้หยกกับพวกเราด้วยกัน?”
จากนั้นข่าวการมาถึงของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายไปทั่วทั้งเมืองหยูหลัน ซึ่งมันส่งผลให้บรรดาผู้คนในเมืองต่างรู้สึกใจสลาย
แต่มันก็ยังมีคนบางกลุ่มที่กำลังมองไปที่เรือนของหลิงตู้ฉิงด้วยความสนใจ
“ที่แท้พวกเขาก็อยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าข้าต้องไปเยี่ยมพวกเขาซะแล้ว!” ใครบางคนพึมพำกับตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนถึงกับตรงไปที่เรือนของหลิงตู้ฉิงทันทีที่ได้ทราบข่าว
“ข้าก็สงสัยอยู่ตั้งนานว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน ที่แท้พวกเขาก็อาศัยอยู่บนยอดเขานั่นเองยังงั้นเหรอ” สีเป่ยเซียะ และ สีจิ้งหมิง ต่างเดินตีคู่กันมา “ท่านหลิงอยู่หรือเปล่า พวกเราอยากเจอเขา”
เสี่ยวเยว่เฟิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อเจอกับคู่พี่น้องคู่นี้ “ขออภัยด้วย ตอนนี้นายท่านยังไม่ว่าง”
แต่หลังจากที่เสี่ยวเยว่เฟิงพูดจบ การผันผวนของพลังวิญญาณโดยรอบก็สิ้นสุดลง และไม่นานต่อมาหลิงตู้ฉิงก็เดินออกมาจากห้อง
เมื่อสัมผัสได้ว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะออกมาจากห้องแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงจึงรีบเดินกลับเข้าไปด้านในเรือนเพื่อรายงานว่า “นายท่าน คู่พี่น้องจากอาณาจักรอี้จิ๋นมาขอเข้าพบกับท่าน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)