ตอน บทที่ 143 อิจฉาตาร้อน จาก ภพนี้ตราบภิรมย์รัก – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 143 อิจฉาตาร้อน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ภพนี้ตราบภิรมย์รัก ที่เขียนโดย ท้อเยาเยา เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“นางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”
ฉินฉู่อี้กล่าวออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่ใบหน้านั้นหาได้มีความผิดหวังแม้แต่น้อย กลับกัน เขาดูตื่นเต้นกว่าใครๆ
ฉินฉางซูยิ้มขึ้นอย่างช่วยมิได้ จากนั้นมองไปทางฉินจิ้งเจา ก็อดมิได้ที่จะเช็ดเหงื่อแทนฉินฉู่อี้
ฉินฉู่อี้เห็นว่าหลินเมิ่งหวันกำลังจะพ่ายแพ้แต่กลับดูตื่นเต้นเช่นนี้ เกรงว่าประเดี๋ยวคงจะเกิดข้อวิวาทกันระหว่างพี่น้องคนอื่นๆ เป็นแน่
ณ บนเวทีสูง หลินเมิ่งหวันมองไปยังสถานการณ์ตรงหน้านี้แล้วต้องตะลึง
หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันแทบชิดชน สายตามองไปยังเฉียวยี่ถงอีกครั้ง
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายดูสงบนิ่ง ในใจของหลินเมิ่งหวันก็ดูตึงเครียด
นางนำตัวหมากสีขาวในมือโยนใส่กลับไปยังกล่อง มองไปทางเฉียวยี่ถงกล่าวว่า “ข้าแพ้แล้ว”
หลินเมิ่งหวันเดินหมากมิเป็น นางทำได้เพียงท่องจำตำรา
การที่นางสามารถบุกได้อย่างดุเดือดนั้น เป็นเพราะตำราหมากที่ฉินฉางซูนำมาให้นางท่อง ซึ่งล้วนเป็นการเดินหมากของคู่ต่อสู้ที่คาดเดาเอาไว้ จึงทำให้หลินเมิ่งหวันแก้ไขสถานการณ์มาถึงจุดนี้ได้
ฉินฉู่อี้และฉินฉางซูมีทักษะการเดินหมากล้ำเลิศประกอบกับตระกูลฉินมีตำราเดินหมากของตนมากมาย สตรีทั่วไปจึงมิอาจสู้นางได้
ทว่าบัดนี้ เมื่อเฉียวยี่ถงวางหมากแต่ละตัวลงไป กลับทำให้ฉินฉางซูต้องประหลาดใจเพราะมิได้เป็นไปตามเกม
โบราณว่าไว้ เดินผิดก้าวหนึ่ง ก้าวต่อไปย่อมผิดเป็นธรรมชาติ
ต่อให้นางเดินหมากต่อไป ทว่าเฉียวยี่ถงอาจมิได้เดินหมากตามตำราที่วางไว้
หลินเมิ่งหวันรู้ดีว่าความสามารถของนางมีมิมากพอ สู้ยอมแพ้เสียบัดนี้จะดีกว่า
เฉียวยี่ถงยิ้มขึ้นกล่าวว่า “คุณหนูหลิน ขอบใจที่ออมมือให้”
นางโค้งกายไปทางหลินเมิ่งหวันเล็กน้อย จากนั้นหลินเมิ่งหวันก็ได้โค้งกายกลับตามมารยาท
มิรอให้ทั้งสองลงจากเวที ก็พบชายคนหนึ่งพุ่งตรงขึ้นไปอย่างตื่นเต้น
“คุณหนูเฉียว ข้าขอเดินหมากกับเจ้าสักตาเป็นไร?”
ฉินฉู่อี้มิอาจควบคุมอารมณ์อันรุกร้อนของตนได้อีกต่อไป เขายกมือขึ้นคารวะเฉียวยี่ถง แต่แววตานั้นดูบ้าคลั่งมิอาจปิดบังได้
หลินเมิ่งหวันมองทางฉินฉู่อี้แล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะ ก่อนหันไปกล่าวกับเฉียวยี่ถงว่า “ขออภัยคุณหนูเฉียว พี่ชายข้าคนนี้เป็นผู้คลั่งไคล้ในการเดินหมากเป็นที่สุด”
ฉินฉู่อี้คือคนเดียวในตระกูลฉินที่เข้าวังรับตำแหน่งขุนนาง ตัวอักษรของเขาเขียนได้เป็นเลิศ มีความสามารถด้านต่างๆ มากมาย ทว่าสิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุดนั้นก็คือหมากรุก
เพียงแต่ว่า ผู้มากความสามารถมักจะโดดเดี่ยวเดียวดาย การที่ฉินฉู่อี้ดูตื่นเต้นเช่นนี้เพราะในที่สุดเขาก็หาผู้มีฝีมือเท่าเทียมกันพบแล้ว
เฉียวยี่ถงหน้าแดงเล็กน้อย นางกำมือแน่น
นางแอบสูดลมหายใจเข้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของใต้เท้าฉินมาเนิ่นนาน แม้แต่ฮ่องเต้าเองก็ทรงเอ่ยชม การที่ข้ามีโอกาสเดินหมากกับใต้เท้าฉินสักตา คงเป็นบุญของยี่ถงยิ่งนัก เพียงแต่หากเป็นการเสียเวลาการแข่งขัน คาดว่าคงมิสะดวกนัก......”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” ฉินฉู่อี้พยักหน้าอย่างเร่งรีบแล้วกล่าวว่า “เอ้า มาเร็ว นำกระดานหมากเคลื่อนย้ายไปข้างล่าง”
หลินเมิ่งหวันตบลงไปที่แขนของฉินฉู่อี้เบาๆ “พี่สามเหตุใดจึงมิถามคุณหนูเฉียวดูก่อนเล่า ว่านางมีแข่งขันต่อหรือไม่?”
ฉินฉู่อี้ตกตะลึง เขามองไปทางเฉียวยี่ถงที่ใบหน้าแดงเรื่อ “ข้าน้อยเสียมารยาทไปหน่อย มิทราบว่าคุณหนูเฉียวยังมีแข่งขันต่อหรือไม่?”
“มิมี ยี่ถงมิได้ลงนามแข่งขันเขียนอักษร”
เฉียวยี่ถงรีบปฏเสธทันควัน เมื่อพบว่าตนกระตือรือร้นเกินงาม นางก็หน้าแดงขึ้นกว่าเดิม แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว
หลินเมิ่งหวันชะงักลง สายตามองไปที่เฉียวยี่ถงและฉู่ฉินอี้
ท่าทางของคุณหนูเฉียวดูแปลกไป
ก่อนหน้านี้นางมิได้หน้าแดงง่ายดายเพียงนี้ หรือนางจะมีใจให้ฉินฉู่อี้?
หลินเมิ่งหวันแววตาเป็นประกาย นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นอย่าได้เสียเวลาไป เร็วเข้า รีบมานำกระดานหมากรุกลงไป ให้พี่ชายข้าได้เดินหมากกับคุณหนูเฉียวสักตา”
“คุณหนูเฉียว เราลงไปเดินหมากกันเถิด” หลินเมิ่งหวันเข้ามาคล้องแขนเฉียวยี่ถงเอาไว้อย่างเป็นกันเอง จากนั้นลากนางลงไปด้านล่างเวที
เมื่อจู่ๆ เกิดเรื่องราวเช่นนี้แทรกขึ้นมา ผู้ชม ณ ที่นั้นทุกคนจึงได้พากันฮือฮา
หลินเมิ่งหวันที่เอาชนะหนานมู่ชิงได้ กลับพ่ายแพ้ต่อเฉียวยี่ถง ทั้งฉินฉู่อี้ยังเข้ามาขอต่อกรกับนางอย่างกระตือรือร้น
เฉียวยี่ถงผู้นี้คือเททพหมากรุกลงมาจุติจริงงั้นหรือ?!
หรือหลินเมิ่งหวันมิได้ใช้กลอุบายใด?
หรือทักษะการเดิมหมากของนางสู้หลินเมิ่งหวันมิได้?!
หนานมู่ชิงอึดอัดหัวใจ นางหายใจมิทั่วท้องและหมดสติไปอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เฉียวยี่ถงและฉินฉู่อี้แข่งขันกันอย่างดุเดือด
ทั้งสองคนสู้กันไปมา มิมีผู้ใดยอมอ่อนข้อให้ สายตาขอแต่ละคนดูตื่นตัวเป็นยิ่งนัก
หลินเมิ่งหวันที่นั่งดูการเดินหมากกระดานนี้ นางมิเข้าใจแม้แต่น้อย จึงทำให้นางหาวขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
บ่าไหล่ปวดล้า การดูคนอื่นเดินหมากนี่เหนื่อยล้ากว่าเดินเองเสียอีก
ร่างกายของหลินเมิ่งหวันอ่อนล้ายิ่งนัก แต่เพราะต้องรักษาภาพพจน์ของตนไว้ นางจึงจำเป็นต้องยืดหลังตรง
จู่ๆ บ่าของนางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
หลินเมิ่งหวันตกใจ นางหันหลังกลับไปมอง พบว่าฉู่โม่หยวนนั่งอยู่ข้างกายนาง แล้วโอบนางเข้าไปไว้ในอ้อมกอด
หลินเมิ่งหวันอมยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ จากนั้นพิงกายไปในอ้อมกอดฉู่โม่หยวนอย่างสบายใจ นางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
อืม นั่งเช่นนี้สบายยิ่งนัก นางมองไปทางเฉียวยี่ถงและฉินฉู่อี้ที่แข่งเดินหมากกันอีกครั้ง บัดนี้รู้สึกน่าดูขึ้นมากว่าเดิม!
เพียงแต่ว่า......
แต่ถึงอย่างไรหลินเมิ่งหวันก็มิได้ชื่นชอบดูการเดินหมาก เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของฉู่โม่หยวนอันแสนสบายเช่นนี้ หนังตาของนางก็เริ่มหนักอึ้ง และมิอาจฝืนความง่วงนั้นได้
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะ ฉู่โม่หยวนก็ก้มหน้าลงมอง แววตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เขากระดิกนิ้วออกคำสั่งไปทางเสวียนยี จากนั้นเสวียนยีก็นำผ้าคลุมเข้ามาให้ ฉู่โม่หยวนห่มมันให้หลินเมิ่งหวันด้วยตนเอง
ฉากตรงหน้านี้ปรากฏต่อสายตาทุกคน คาดว่านับจากนี้อีกหลายปีเรื่องนี้คงเผยแพร่กันไปในเมืองหลวง สตรีจำนวนมิน้อยคงจะพากันอิจฉาตาร้อนอย่างแน่นอน
ทว่าท่ามกลางฝูงชน หลี่จิ่นซูกำมือของตนเอาไว้แน่น สายตาแทบลุกเป็นไฟ!
แผนการบางอย่าง ถึงเวลาแล้วที่จะลงมือล่วงหน้า!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก