พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 10

นาราภัทรลอบอมยิ้มดีใจกับคำตอบที่ได้รับถึงแม้จะรับรู้ความจริงที่ว่าเจ้าชายซารีฟร์คงทำเช่นนี้บ่อยๆ และเธอคงไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เจ้าชายหนุ่มแห่งทะเลทรายได้รอรับกลับบ้านแต่กระนั้นก็ยังคงมีริ้วรอยแห่งความดีใจเผยให้เห็นทั่วดวงหน้างามหวาน

“เจ้าชายคงรอรับผู้หญิงกลับบ้านบ่อยสิคะ”

“ใครว่า...นี่เป็นการกระทำครั้งแรกของเราต่างหากและจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่จะทำเช่นนี้ทุกวัน”

เจ้าชายหนุ่มเอ่ยค้านแก้ไขความเข้าใจผิดขอหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าตนเองนั้นเริ่มหวาดหวั่นไม่อยากทำสิ่งใดให้น้ำหนาวได้เข้าใจผิดและโกรธเคือง

“ที่พูดเมื่อสักครู่หมายความว่าจะมารับสาวอื่นกลับบ้านด้วยใช่หรือเปล่าคะ”

นาราภัทรเอ่ยถามเสียงราบเรียบไม่อยากตีความหมายว่าเจ้าชายซารีฟร์หมายถึงเธอแค่เพียงผู้เดียว

“เราหมายถึงเจ้าคนเดียวต่างหากล่ะ” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยตอบเสียงอบอุ่นอ่อนโยนพร้อมกับแกล้งจิ้มนิ้วลงไปบนหน้าผากมน

“ถ้าอยากไปส่งน้ำหนาวจริง เจ้าชายรอไปส่งด้วยรถเมล์ได้หรือเปล่าคะ แต่ต้องรอนานหน่อยเพราะรถชั่วโมงนี้ออกไปแล้วดึกๆ แบบนี้ต้องรออีกชั่วโมงกว่าจะมีรถผ่านมาอีกคัน”

เจ้าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาตามแบบฉบับบุรุษอาหรับขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งก่อนจะเอ่ยถามออกมาให้คลายอาการสงสัย

“ทำไมต้องนั่งรถเมล์ไปส่งด้วย รถของเราก็มีนี่”

“คือ...” นาราภัทรอ้ำอึ้งมองอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะหลบตาก้มลงมองมือตัวเอง

เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มอบอุ่นเมื่ออ่านความในใจได้จากดวงตาคู่สวยกลมโต น้ำหนาวคงไม่กล้าไปกับเขาทั้งๆ ที่เพิ่งพบเจอได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก การเดินทางด้วยรถสาธารณะที่มีผู้โดยสารร่วมทางอีกหลายคนทำให้หญิงสาวรู้สึกปลอดภัยมากกว่าการอยู่กับเขาแค่เพียงสองต่อสอง

“น้ำหนาว เงยหน้ามองเราสิ” นิ้วเรียวยาวเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นสบตากันขณะร้องขอ “เจ้าสบายใจได้ว่าเราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก และถ้าหากเจ้าอยากกลับด้วยรถเมล์ก็ไม่มีปัญหาเดียวเราจะกลับพร้อมเจ้า”

“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจน้ำหนาว” หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆ พึมพำเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา

“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงออกมาช้า ผับเลิกตีสามไม่ใช่หรือ”

เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาและเหล่าองครักษ์ได้ออกจากผับ 5 นาทีก่อนที่ผับจะปิดให้บริการจากนั้นได้ออกมายื่นรอหน้าผับตามที่ได้เอ่ยสั่งน้ำหนาวไว้ แต่ยืนรอเกือบ 10 นาทีก็ไม่เห็นหญิงสาวออกมาสักทีจนคิดว่าน้ำหนาวแอบหนีออกทางหลังร้านและกลับบ้านไปแล้ว

นาราภัทรหันไปมองที่หน้าผับก่อนจะเอ่ยตอบออกมาด้วยความโมโหตัวตนเหตุที่ทำให้เธอต้องออกมาช้าและไม่ทันรถเมล์เที่ยวนี้

“ผับเลิกตีสามน่ะถูกแล้วค่ะ แต่ที่ออกมาช้าก็เพราะถูกอีตาพอล...อ้อ...เจ้าของผับเรียกเข้าไปพบก่อน เฮ้อ...ตายยากเสียด้วยพูดถึงปุ๊บก็โผล่หน้ามาปั๊บทันที”

หญิงสาวบุ้ยปากให้เจ้าชายซารีฟร์หันไปมองทางเข้าผับซึ่งขณะนี้มีหนุ่มเจ้าสำอางกำลังเดินออกมาและทำท่าว่าจะตรงดิ่งมาหาตัวเธอเสียด้วย

“นั่นหรือคนที่ชื่อพอล”

เจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีนเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจขณะหันไปมองตามกริยาเชิญชวนของน้ำหนาว และเมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่เรือนร่างใหญ่โตตามแบบฉบับฝรั่งตาน้ำข้าวที่กำลังเดินตรงมาหาน้ำหนาวก็รีบขยับกายพร้อมกับดึงเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวที่ต้องใจภักให้ขยับเข้าหาตนเองอีกนิดหนึ่ง และเมื่อคนที่ชื่อพอลเดินเข้ามาใกล้ในรัศมีที่สามารถสังเกตสังกาได้อย่างชัดเจนเจ้าชายหนุ่มนักรักถึงกับหน้าตึงตีหน้าบึ้งถมึงทึงใส่อีกฝ่ายด้วยอ่านความนัยจากดวงตาสีน้ำข้าวออกอย่างชัดเจนเมื่อชายหนุ่มคนนี้ได้ทอดสายตาจ้องมาน้ำหนาว

ถึงแม้เพิ่งพบเจอะเจอบุรุษชาติอาหรับได้ไม่ทันข้ามคืนแต่นาราภัทรก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นความปลอดภัยขณะที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าชายซารีฟร์ ผิดกับการอยู่ใกล้นายจ้างอย่างพอลที่เข้าใกล้ทีไรทำให้เธอเสียวสันหลังวูบไม่รู้ว่าจะโดนอีกฝ่ายไล่ตะครุบเมื่อไหร่ หญิงสาวขยับกายเข้าหาเรือนกายอบอุ่นตามแรงดึงเบาๆ ของเจ้าชายหนุ่มก่อนจะกระซิบตอบแผ่วเบาเมื่อพอลเดินเข้ามาใกล้แล้ว

“เขานี่แหละคะ อีตาพอลจอมชีกอ”

พอลยิ้มกริ่มดวงตาเต้นระริกปิดบังแววหื่นกระหายไม่มิดขณะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาราภัทร เขาไม่สนใจบุรุษหนุ่มชาติอาหรับ 3 คนที่ยืนอยู่ใกล้กับน้ำหนาวเพราะตอนนี้ดวงตาของเขากำลังมองและจดจำเฉพาะเรือนร่างขาวผ่องที่ได้เห็นเนื้อแท้วับๆ แวมๆ ภายใต้ชุดทำงานลายเสือ

“อ้าว...น้ำหนาว ยังไม่กลับอีกหรือ”

“กำลังจะกลับ”

นาราภัทรกระชากเสียงตอบอย่างโกรธเคืองรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นคนถ่วงเวลาทำให้เธอออกมาไม่ทันรถเมล์เที่ยว

ตีสามแล้วยังจะมาเสนอหน้าแกล้งถามอีก

“ออกมาไม่ทันรถเมล์ใช่ไหม โอ้!...ผมนี่แย่จริงๆ ชวนคุณคุยเพลินจนทำให้คุณตกรถ ถ้าไงผมขอแก้ตัวด้วยการไปส่งคุณที่บ้านดีมั้ย”

เป็นความใจดีที่มาพร้อมกับความประสงค์ร้ายที่ใครๆ ก็มองออกขนาดเด็กประถมยังรู้เลยว่าคนที่เอ่ยเสนอเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ

“ขอบคุณ ไม่ลำบากให้ไปส่งหรอกค่ะ อีกไม่นานรถเมล์ก็มาแล้วเชิญคุณกลับก่อนเถอะค่ะ”

พอลแสร้งทำหน้าเศร้าก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือก่อนจะเอ่ยตอบ

“อีกตั้งชั่วโมงเชียวน่ะกว่าจะมีรถมาอีกคัน แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวและอันตรายให้ผมไปส่งดีกว่า ถ้าลำบากใจนักก็ถือว่าเป็นสวัสดิการที่เจ้านายมอบให้ลูกจ้างก็ได้”

‘คงอยากได้หรอกน่ะสวัสดิการแบบนี้ ’

นาราภัทรนึกตอบในใจอย่างโมโหก็เพราะสวัสดิการที่เสนอให้กับลูกจ้างสาวเป็นประจำถึงได้ทำให้ The Long Night Pub เปลี่ยนพนักงานสาวเป็นว่าเล่น ใครก็ตามที่คิดเรียกร้องขอค่าเสียหายหรือคิดผูกมัดตัวเจ้าของผับก็จะถูกเอาเงินฟาดหัวและไล่ออกทันที

“เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ ดิฉันกลับเองได้”

หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงเย็นพร้อมกับขยับกายเข้าหาเรือนร่างกำยำอบอุ่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอไม่รู้สึกตัวเลยว่าตลอดเวลาที่ได้เอ่ยปฏิเสธนายจ้าง มือใหญ่ร้อนผ่าวของเจ้าชายซารีฟร์ได้โอบกอดแตะสัมผัสที่เอวบางคอดกิ่วของเธออย่างหวงแหนแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

“มาเถอะน้ำหนาว อย่าเล่นตัวนักเลย”

เมื่อความอดทนถึงที่สิ้นสุดเอ่ยตะล่อมหญิงสาวไม่สำเร็จพอลจึงใช่วิธีรวบรัดโดยการขยับเข้าหาแล้วเอื้อมมือไปข้างหน้าหมายจะจับต้นแขนเนียนแล้วฉุดร่างบางเข้าหาตน

เผี้ยะ!!!...

เจ้าชายซารีฟร์ปัดมือของพอลที่เอื้อมมาหมายจะจับต้นแขนของนาราภัทรออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังกลางอากาศ ใบหน้าคมเข้มถมึงทึง นัยน์ตาดำขลับคมกริบลุกวาวด้วยดวงไฟแห่งความพิโรธ

“ผู้หญิงบอกว่าไม่!...ก็คือไม่!...”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย