“เจ้าชาย...เจ้าชายซารีฟร์...พระองค์อยู่ไหนพะยะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องด่วนจะกราบทูลให้ทรงทราบ”
องครักษ์ราชิตตะโกนร้องแรกแหกกระเชอขณะวิ่งตามหาเจ้าเหนือหัวทั่วตำหนักในอาณาเขตบริเวณโอเอซิสกว้างพอตามหาทั่วห้องบรรทมห้องทรงงานไม่พบเจ้าชายหนุ่มก็ควบอูฐออกไปหาที่ไซด์งานซึ่งอยู่ห่างจากตำหนักราวๆ 5 ไมล์เห็นจะได้
พาหนะมีชีวิตฝีเท้าจัดทะยานแหวกม่านลมละอองทรายไม่กี่สิบนาทีก็พาร่างสูงใหญ่ล่ำสันขององครักษ์ราชิตมาถึงไซด์งานก่อสร้างซึ่งคนงานกำลังเร่งก่อสร้างกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันเปิดตัวโรงแรมหรูหราอลังการบนพื้นที่ที่โอบล้อมด้วยโอเอซิสแหล่งน้ำแหล่งชีวิตท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุในวันชาติของอัลนูรีนซึ่งเหลือเวลาไม่ถึงครึ่งปีดีก็จะถึงวันชาติแล้ว
“พวกเจ้าเห็นเจ้าชายไหม” ราชิตตะโกนถามเหล่าวิศวกรที่กำลังเดินคุมเดินตรวจงานอยู่ใกล้ๆ
“เห็นพระองค์อยู่ที่โซนดีครับท่านราชิต”
หนึ่งในวิศวกรผู้คุมงานได้ตะโกนตอบออกจะงงๆ อยู่บ้างที่องครักษ์เอกมีทีท่าร้อนรนฟังยังไม่ทันจบประโยคดีก็วิ่งพรูดพราดเข้าไปยังไซด์งานโซนด้านในสุด
“พระองค์พะยะค่ะ พระองค์ต้องไปที่สนามบินเดี๋ยวนี้เลยพะยะค่ะ”
ราชิตเอ่ยบอกเสียงร้อนรนพร้อมกับทำใจกล้าดึงต้นแขนสีแทนของเจ้าเหนือหัวให้เดินออกจากไซด์งานตรงไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่ตรงลานด้านหน้า
“ราชิต! ปล่อยแขนเราเดี๋ยวนี้” เจ้าชายซารีฟร์สะบัดแขนกัดฟันกรอดขณะเอ่ยบอกองครักษ์เอกที่บังอาจมาออกคำสั่งกับตนเอง
“พระองค์เชื่อกระหม่อมสักครั้งเถอะพระองค์จะช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว”
ราชิตร้องขอเสียงอ่อนพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเมื่อเห็นว่าเข็มนาฬิกาเดินทางกินเวลาไปเกือบชั่วโมงแล้วก็ตี
สีหน้าซีดเผือดด้วยเกรงว่าจะไม่ทันการณ์
“เจ้าจะให้เราไปที่สนามบินทำไมเจ้าราชิต” เจ้าชายหนุ่มยกมือขึ้นเท้าสะเอวถลึงตาจ้องมององครักษ์เอกด้วย
ความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด
“พระชายาจะเดินทางออกจากอัลนูรีนวันนี้พะยะค่ะ เครื่องบินหลวงจะออกจากรันเวย์ตอนบ่ายโมงพะยะค่ะ”
“ไอ้ราชิต! แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนแรก”
เจ้าชายซารีฟร์ตะโกนด่าลั่นไซด์งานรีบวิ่งตรงไปที่เฮลิคอปเตอร์โดยไม่รอช้าเพราะเหลือเวลาอีกแค่ 1 ชั่วโมงเครื่องก็จะออกแล้ว
“ก็บอกว่าให้ไปที่สนามบินตั้งแต่แรกพระองค์ดันไม่เชื่อกระหม่อมเองนี่” ราชิตเกาหัวแกร็กๆ บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งขณะวิ่งตามเจ้าเหนือหัวไปฮอ
“น้ำหนาวจะกลับเมืองไทยงั้นหรือราชิต” เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยถามร้อนรนรีบหยิบหูฟังขึ้นมาสวม
“ไม่ทราบพะยะค่ะ ท่านอานีสต์ส่งข่าวมาบอกว่าพระชายาขอร้องให้เจ้าชายฮารีฟร์เป็นผู้จัดเตรียมเครื่องบินหลวงให้ ส่วนเรื่องการเดินทางกลับเมืองไทยหรือจะไปที่ประเทศไหนไม่มีใครทราบเลยพะยะค่ะ”
“บ้าชะมัด! ถ้าเราไปไม่ทันก็ไม่รู้เลยน่ะสิว่าน้ำหนาวจะไปที่ไหน ราชิตนายเร่งเครื่องเต็มที่เอาให้ถึงสนามบินภายใน 20 นาที”
องครักษ์ราชิตซึ่งก้าวขึ้นมาทำหน้าที่เป็นนักบินถึงกับตาเหลือกกับคำสั่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยของเจ้าเหนือหัว เขาตีหน้ายุ่งยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะรับคำสั่งอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก
“กระหม่อมจะพยายามทำให้ได้พะยะค่ะ”
เจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนพยักหน้ารับพลางหยิบโทรศัพท์ออกโทรหาเชษฐาฮารีฟร์รอสายเป็นนานเกือบนาทีก็ปราศจากเสียงตอบรับจากปลายทางเมื่อท่านพี่ไม่รับก็กดโทรหาอนุชาชารีฟร์บ้างจากนั้นก็ไล่ไปจนถึงองครักษ์เอกทั้งสองของเชษฐารวมถึงองครักษ์ของอนุชาด้วย
“เฮ้ย! เป็นอะไรไปกันหมดทำไมไม่มีใครรับสายเราสักคน”
เจ้าชายซารีฟร์สบถลั่นพร้อมกับขว้างโทรศัพท์ทิ้งด้วยความโมโหขัดเคืองรู้สึกราวกับว่าทุกคนกำลังแกล้งลงโทษเขาและพร้อมที่จะช่วยเหลือให้นาราภัทรเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างราบรื่น
“เอ่อ...เจ้าชายฮารีฟร์อาจจะทรงงานอยู่ก็ได้เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า” ราชิตอ้อมแอ้มแก้ต่างให้กับประมุขของประเทศอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“ติดงานหรือแกล้งไม่รับโทรศัพท์เรากันแน่ แต่ช่างเถอะ! เราจะจัดการเรื่องนี้เอง น้ำหนาวจะออกจากอัลนูรีนไม่ได้หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากเรา”
ราชิตลอบกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ถ้าหากเจ้าชายรู้ว่าเขาคือหนึ่งในเหล่าองครักษ์ที่รวมหัวกันหลอกเรื่องของพระชายาสงสัยเขาจะโดนลงทัณฑ์ขั้นรุนแรงเป็นแน่ เขายกมือลูบบนหัวใจตัวเองซึ่งกำลังเต้นตึกตักปลอบให้ใจเย็นลงเจ้าชายซารีฟร์อาจไม่พิโรธถึงเพียงนั้นก็ได้ถ้าหากได้รู้ความจริงเข้า แล้วก็แย้มยิ้มออกมาได้ขณะที่ลูบตรงหัวใจโดนตรงตำแหน่งของกระเป๋าเสื้อสูทแล้วได้ยินเสียงซวบสาบของกระดาษแผ่นบางที่ตนเองเก็บรักษาไว้อย่างดี เขาล้วงหยิบกระดาษสีขาวซึ่งยับยู่ยี่แล้วยื่นส่งให้เจ้าเหนือหัวพร้อมกับกำชับเสียงแข็งอย่างลืมตัว
“พระองค์อ่านเนื้อหาข้างในกระดาษแผ่นนี้หน่อยพะยะค่ะ”
“เราไม่มีอารมณ์จะอ่านอะไรทั้งนั้นเอาไปทิ้งซะ”
เจ้าชายซารีฟร์บอกปัดอย่างหงุดหงิดตอนนี้จิตใจพะว้าพะวงกับแก้วตาดวงใจที่กำลังจะเดินทางจากไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย