พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 18

“ทำไมล่ะแองจิล่า หรือว่าประหม่าที่ต้องดูแลแขกไฮโซทั้งหลาย”

นาราภัทรเอ่ยถามยิ้มๆ หยิบชุดทำงานออกมาจากถุงพลาสติกสีเทาแล้วก็แย้มยิ้มอย่างพึงพอใจระคนโล่งอกเมื่อได้เห็นเสื้อแขนยาวรัดรูปสีแดงเพลิงกับกางเกงขายาวสีดำสนิทดุจราตรีกาล ถึงแม้ตัวเสื้อจะเปิดเปลือยให้เห็นตรงช่วงเอวคอดกิ่วเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าให้ใส่เสื้อแขนกุดทำงาน

“ฉันน่ะอยากโยนชุดทำงานบ้าๆ พวกนี้ทิ้งแล้วแต่งตัวสวยๆ ออกไปร่วมงานเลี้ยงเผื่อว่าฉันจะจับผู้ชายหล่อๆ รวยๆ ได้สักคน”

แองจิล่าหยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงพลาสติกแล้วสวมใส่อย่างกระแทกระทั้น นึกโทษชะตาชีวิตทำไมไม่ส่งให้เธอมาเกิดบนกองเงินกองทองเหมือนคนอื่นจะได้ไม่ต้องทนทำงานที่ได้เศษเงินแค่ไม่กี่ดอลลาร์เพื่อประทังชีวิตให้ผ่านพ้นไปวันๆ

“เลิกเฝ้อฝันได้แล้วแองจิล่า รีบแต่งตัวเข้าเถอะจะได้ออกไปเตรียมเครื่องดื่มป่านนี้แขกคงทยอยเข้ามาในงานเลี้ยงแล้วล่ะมั้ง”

นาราภัทรสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่สวมใส่จากนั้นก็แต่งหน้าอ่อนๆ รวบเส้นผมที่ยาวดำขลับนุ่มสลวยให้รัดตึงไม่ให้หลุดรุ่ยร่ายสร้างความรำคาญขณะทำงาน พอแองจิล่าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็พยักหน้าชวนให้อีกฝ่ายที่ยังทำท่าอิดออดได้เดินออกจากห้องแต่งตัว

“ไปกันได้แล้วแองจิล่า”

พอลกับทอมสันเศรษฐีร้อยล้านเจ้าของงานพากันยืนอยู่บนชั้นลอยชั้นสองของคฤหาสน์หลังงาม ในมือถือไวน์แดงราคาแพงคนละแก้วเอาไว้จิบสร้างความสำราญขณะยืนมองเหยื่อสาวแสนสวยที่จะตกเป็นอาหารโอชะมือวิเศษในค่ำคืนนี้

“คนที่ยืนใกล้ๆ นังแองจิล่านั่นไงที่ชื่อน้ำหนาว”

พอลพยักพเยิดบุ้ยปากให้เพื่อนเศรษฐีได้มองไปยังหญิงสาวชาวไทยแสนสวยที่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดเรียงแก้วแชมเปญให้เป็นรูปสามเหลี่ยมทรงสูงก่อนจะเทแชมเปญลงไปช้าๆ ให้น้ำอำพันสีอ่อนราคาแพงไหลรินจนเต็มทุกแก้ว

“ไม่เลวเลยพอล สาวเอเชียนี่น่ากินน่าฟัดไปทั้งตัว”

ทอมสันยกไวน์แดงขึ้นจิบทอดมองหญิงสาวที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาด้วยสายตาหื่นกระหาย แค่ได้เห็นผิวกายขาวผ่องยองใยตรงบริเวณเอวคอดกิ่วก็ทำให้เลือดในกายความต้องการแล่นพล่านเต้นตุบๆ อยู่ตรงแก่นกายกลางลำตัว

พอลหัวเราะร่วนเมื่อเหลือบเห็นแววตาหื่นกระหายอาการเต้นตุบๆ เด่นผงาดของอาวุธสำคัญที่ทอมสันปกปิดระงับไว้ไม่อยู่

“อย่าลืมส่วนแบ่งของเราล่ะทอมสัน”

“ไม่ลืม...ขอให้หญิงเอเซียคนนี้สะอาดสดจริง นายก็จะได้รับเงินก้อนโตแถมท้ายด้วยตัวหญิงคนนี้หลังจากที่เราอิ่มหน่ำสำราญแล้ว”

ทอมสันกระดกไวน์แดงที่เหลือครึ่งแก้วรวดเดียวเข้าลำคอจากนั้นก็หัวเราะร่วนอยากร่นเวลาให้ถึงช่วงพิเศษสำหรับการกินอาหารอันโอชะเร็วไว

“การันตีความสดสะอาดเลยทอม อีนังนี่มันหวงตัวจะตายไป เราแกล้งแตะนิดแตะหน่อยก็มองเราตาขวางเขียวปัด มีลูกค้าเราคนหนึ่งลองทาบทับขอซื้อตัวก็ถูกอีนังน้ำหนาวตบเสียเลือดกบปาก”

“ฮ่ะ...ฮ่ะ...นี่สิดี ถ้าชอบความรุนแรงเดี๋ยวเราจะสนองให้เต็มที่”

ทอมสันรับไวน์มาจากลูกน้องที่รินมาให้อีกครึ่งแก้วแล้วกระดกเข้าปากรวดเดียวจบเหมือนรอบแรกก่อนจะเอ่ยถามถึงแผนที่ได้วางไว้

“นายเตรียมยาไว้เรียบร้อยหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว งานเลี้ยงจบเมื่อไหร่เราได้สนุกกับอีนังน้ำหนาวจนสว่างคาตาแน่”

พอลเอ่ยตอบเสียงตื่นเต้นกระสันอยากทำกิจกรรมพิเศษแทบทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเลิกงานเลี้ยง

“กำชับเด็กของนายให้ทำงานดีๆ อย่าให้ผิดพลาดแล้วก็อย่าทำอะไรกระโตกกระตากให้ไก่รู้ตัวก่อนล่ะ”

ทอมสันย้ำคำเสียงแข็ง ตัวเขาเองก็อยากเล่นเกมส์สวาทที่มักจะทำเช่นนี้เป็นประจำทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยง

“รับรองไม่พลาดแน่นอน” พอลหัวเราะร่วนหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์ไวน์ที่สาดลงคอไปเกือบสิบแก้วแล้ว “ลงไปต้อนรับแขกกันเถอะ แขกเริ่มทยอยเข้ามาในงานแล้ว”

“บอกตามตรงน่ะพอล อาหารจานโอชะที่รอหลังเลิกงานเป็นสิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นที่สุด”

ทอมสันหัวเราะร่วนหื่นกระหายขณะเดินลงมายังชั้นล่างของคฤหาสน์แล้วตรงดิ่งไปยังมุมเครื่องดื่มเป็นที่แรก เขาอยากยลโฉมสาวงามชัดๆ ด้วยสายตาทั้งคู่ ก่อนที่ค่ำคืนนี้จะใช้มือปากและแก่นกายร้อนผ่าวเป็นตัวแทนในการยลโฉมสาวงามอีกครั้ง

เจ้าชายซารีฟร์ชะลอความเร็วรถลงเมื่อขับตามรถเก๋งที่นาราภัทรนั่งมาจนเกือบถึงทางเข้าคฤหาสน์ เจ้าชายหนุ่มจอดรถชิดข้างทางห่างจากประตูทางเข้าราวๆ 50 เมตรพยายามมองลอดประตูรั้วสังเกตการณ์ว่าภายในกำลังจัดกิจกรรมรื่นเริงอะไรกัน

“เป็นไปได้ไหมราชิตที่น้ำหนาวอาจจะมางานเลี้ยงที่คฤหาสน์หลังนี้”

ขณะที่เอ่ยถามองครักษ์ดวงตาคมกริบของเจ้าชายแห่งแผ่นผืนทะเลทรายได้จับจ้องแน่นิ่งอยู่ที่คฤหาสน์หลังงามซึ่งตั้งเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้าสายตา ขัดเคืองใจยิ่งนักที่นาราภัทรสานสัมพันธ์กับคนรวยเหล่านี้ ซึ่งถ้าหากเทียบลำดับชั้นความร่ำรวยแล้วตัวเขานั้นรวยกว่าบรรดาเศรษฐีกระจอกเหล่านี้หลายร้อยเท่านัก

องครักษ์ราชิตเพ่งสายตามองไปยังคฤหาสน์ที่เริ่มเปิดดวงไฟหลากสีให้ความสว่างสีสันแสบตาสำหรับงานเลี้ยงที่ทำท่าจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

“กระหม่อมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ เจ้าของคฤหาสน์หรือลูกสาวลูกชายใครคนใดคนหนึ่งอาจจะเป็นเพื่อนกับคุณน้ำหนาวก็เป็นไปได้”

“เบื่อที่จะเดาแล้วราชิต เข้าไปหาคำตอบข้างในดีกว่า”

เจ้าชายซารีฟร์เอ่ยบอกเสียงติดรำคาญเล็กน้อยบิดกุญแจสตาร์ทรถเตรียมเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งที่จอดชิดไหล่ทางแต่ถูกองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์เอ่ยท้วงไว้ก่อน

“ให้กระหม่อมเป็นคนขับรถดีกว่าพะยะค่ะ ขืนให้พระองค์เป็นคนขับรถเข้าไปพวกเด็กรับรถเหล่านั้นคงไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นเจ้าชายแห่งราชวงศ์อัลนูรีน”

“อืม...จริงดังที่เจ้าพูด พวกนั้นคงไม่เชื่อแน่ที่จู่ๆ เจ้าชายแห่งทะเลทรายจะมาขับรถเอง”

ทั้งเจ้าชายซารีฟร์และองครักษ์ราชิตต่างก็เปิดประตูรถด้านที่ตนเองนั่งอยู่แล้วเดินอ้อมตัวรถเพื่อสลับที่นั่งกัน หลังจากนั้นราชิตก็ทำหน้าที่สารถีขับรถคันหรูราคาแพงตามรถคันอื่นๆ ที่ทยอยเคลื่อนตัวเข้าไปในคฤหาสน์

“หาบัตรเชิญให้พวกมันหน่อยสิ”

เจ้าชายหนุ่มยิ้มเยาะหยันขณะเอ่ยบอกองครักษ์เสียงราบเรียบ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาดวงตาดำสนิทดุจราตรีในคืนเดือนมืดจ้องเขม็งไปยังชายฉกรรจน์สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วใหญ่คนละด้านเพื่อคอยตรวจเช็ดบัตรเชิญก่อนที่จะปล่อยให้รถแต่ละคันเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์ได้

“เบนจามิน แฟรงคลิน คนละ 3 ใบน่าจะเปิดประตูคฤหาสน์ได้น่ะพะยะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย