ปาจรีย์เห็นความเหนื่อยล้าในสายตาเธอแล้ว ก็ไม่อยากรบกวนเธอ พยักหน้าตอบรับ“ได้ งั้นฉันออกไปก่อนนะ วารุณีเธอก็อยู่เงียบๆก่อนละกัน มีอะไรก็บอกฉันได้”
“อือ”วารุณีฝืนฉีกยิ้มออกไป
ปาจรีย์ละสายตาคืนกลับมา หันกลับเดินไปที่ประตู
เพิ่งเดินออกไปด้านนอกประตู เธอก็เห็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็ดีใจสุดๆ“ประธานนัทธี!”
ปาจรีย์โบกมือให้เขา
นัทธีเมินสายตาที่ตกใจและตื่นเต้นของคนพวกนั้นในออฟฟิศที่ทำงาน เดินไปที่ปาจรีย์“คุณเรียกผมเหรอ?”
“คุณมารับวารุณีเหรอ?”ปาจรีย์ถาม
นัทธีพยักหน้า“เวลานี้เธอไม่ได้รอผมที่ถนน โทรศัพท์ก็ไม่รับ ดังนั้นผมเลยอยากมาดู เธอไม่อยู่เหรอ?”
“อยู่ อยู่สิ”ปาจรีย์ชี้ที่ประตูด้านหลัง“อยู่ด้านใน ประธานนัทธีคุณมาได้พอดีเลย คุณรีบเข้าไปเอาใจวารุณีเถอะ”
“เธอเป็นอะไร?”ท่าทางของนัทธีก็ดูตึงเครียดขึ้นมา
มองความกังวลและห่วงใยที่มีต่อวารุณีในสายตาเขาออก ปาจรีย์จึงถอนหายใจ“ฉันก็ไม่รู้ วันนี้ช่วงบ่ายวารุณีไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เหมือนไปเจอเรื่องอะไรมา ฉันถามเธอ เธอก็ไม่บอก”
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะเข้าไปดู”พูดจบ นัทธีก็บิดลูกบิดประตู แล้วเดินเข้าไป
ในห้องทำงาน วารุณีได้ยินว่าเสียงประตูเปิด ก็คิดว่าปาจรีย์เข้ามาอีก และก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไป จ้องหน้าจอคอมแล้วพูดว่า:“ปาจรีย์ ฉันไม่ได้บอกเหรอว่าอยากอยู่เงียบๆ?ทำไมเธอ......”
“ผมเอง”ชายหนุ่มพูดเสียงหม่น
วารุณีตะลึง เงยหน้ามองไปทันที ก็เห็นชายหนุ่มเดินมา จึงยิ้ม“คุณมาได้ไง?”
“ปกติเวลานี้คุณจะรอที่ชั้นล่าง ครั้งนี้ไม่อยู่ โทรศัพท์ก็ปิด ดังนั้นเลยขึ้นมาหาคุณน่ะ”นัทธีเดินไปหน้าโต๊ะทำงานเธอแล้วตอบ
วารุณีมองไปมุมล่างขวาของคอม จึงเห็นว่าเป็นเวลาห้าโมงครึ่งแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าผาก“ขอโทษ ฉันไม่ได้ดูเวลา ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปไวขนาดนี้”
พูดไป เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แตะหน้าจออยู่หลายครั้งก็ยังเป็นสีดำอยู่ เลยลองไปชาร์จดู แล้วหน้าจอก็เป็นประกายขึ้นมา
“ไม่ย่าล่ะคุณถึงโทรไม่ติด โทรศัพท์ฉันแบตหมด”วารุณีรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นัทธีมองเธอ“ผมได้ยินปาจรีย์บอกว่า วันนี้ทั้งบ่ายคุณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เกิดอะไรขึ้น?”
วารุณีได้ยินที่เขาถาม ก็ลูบคิ้ว“ที่จริงก็ไม่มีอะไร แค่วันนี้เจอผู้อำนวยการนิรุตติ์ที่ฝ่ายออกแบบ”
พอได้ยิน รูม่านตาของนัทธีหดลง บรรยากาศรอบๆตัวนั้นเย็นลง“เขาพูดถึงเรื่องพินัยกรรมใช่ไหม?”
วารุณีพยักหน้าแรงๆ จากนั้นเอาสถานการณ์ในตอนนั้นพูดออกมาหมด
นัทธีฟังจบ ก็กำมือทั้งสองข้างขึ้นมา
วารุณีเห็นสีหน้าเขาไม่ดี ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามา จับมือของเขาไว้“นัทธี คุณว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี?สำหรับพินัยกรรม พวกเราไม่มีเบาะแสอะไรสักนิด เหลือแกครึ่งเดือน ถ้าเขาไม่ได้พินัยกรรม หรือเบาะแสของพินัยกรรมจริงๆ ฉันกังวลว่าเขาจะทำทุกอย่างได้”
“ไม่เป็นไร”นัทธีตบหลังมือของเขา“ในเมื่อเขาต้องการเบาะแสพินัยกรรม งั้นก็ให้เขาไป”
วารุณีเบิกตาโตขึ้นมาอย่างตกใจ“นัทธี หรือว่าคุณหาพินัยกรรมเจอแล้ว?”
“เปล่า แต่พวกเราสามารถสร้างเบาะแสปลอมๆ ทำให้เขาสับสนได้”นัทธีหรี่ตา สายตานั้นเป็นประกาย
วารุณีกัดริมฝีปาก น้ำเสียงนั้นกังวลหน่อยๆ“แบบนี้ได้เหรอ?ถ้าเขาเดาออกว่าพวกเราใช้เบาะแสปลอม จะคิดว่าพวกเราจงใจหลอกเขาไหม แล้วทำให้เขาพาลโกรธเอา?”
“วางใจเถอะ ผมไม่ให้โอกาสเขาแน่”นัทธีก้มหน้าลงจูบคิ้วของเธอ
เขารู้ดีว่าตัวเองในอีกครึ่งเดือนข้างหน้านี้ ไม่มีทางหาพินัยกรรมได้
ดังนั้นอย่างเดียวที่ทำได้ ก็คือเอาเบาะแสปลอมไปทำให้นิรุตติ์สับสน ส่วนนิรุตติ์จะสงสัยว่าเบาะแสนั้นปลอมหรือไม่นั้น สงสัยแน่นอน แต่ขณะเดียวกันอีกครึ่งหนึ่งก็เชื่อ
ดังนั้นนิรุตติ์จะต้องไปหาพินัยกรรมตามเบาะแสปลอมแน่ ในช่วงเวลานั้น เขาจะหาทางกักกันนิรุตติ์ ให้เขากลับจังหวัดจันทร์ไม่ได้
ได้ยินความเด็ดเดี่ยวในน้ำเสียงของชายหนุ่มแล้ว หัวใจที่ไม่สบายใจของวารุณี ก็สงบลงทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...