พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ นิยาย บท 382

จากนั้น เขาก็หยิบจดหมายออกมา แต่ไม่รีบเปิดออก แต่กลับมองพิจารณาซองจดหมาย

ซองจดหมายดูเก่าซีดเล็กน้อย ตัวอักษรเองก็ค่อนข้างเลือนราง จึงพอดูออกว่าถูกทิ้งเอาไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว

ดังนั้น จดหมายฉบับนี้จึงเป็นจดหมายที่คุณปู่ทิ้งเอาไว้ให้เขาจริง ๆ แต่ไม่เคยบอกเขามาก่อน

นัทธีรีบฉีกซองจดหมาย เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า : นัทธี ตอนนี้หลานเห็นจดหมายฉบับนี้ ปู่คงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว ไม่ต้องรู้สึกแปลกใจ นี่คือความสมัครใจของปู่เอง ดังนั้นไม่ต้องพยายามสืบหาสาเหตุการตายของปู่

นัทธี ชาตินี้คนที่ปู่รู้สึกผิดด้วยอย่างมากก็คือพ่อแม่ของหลาน แต่ปู่เองก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นหวังว่าหลานจะให้อภัยในความเห็นแก่ตัวของปู่ ถึงแม้พวกลุงของหลานจะไม่ใช่คนดีนัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูกชายของปู่ ปู่จึงไม่อาจทนเห็นพวกเขาต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีได้ ดังนั้นปู่จึงทำได้เพียงเลือกที่จะหนีความจริง

“หมายความว่าอย่างไร ?” นัทธีอ่านถึงตรงนี้ แววตาอันลึกซึ้งของเขาก็เต็มไปด้วยคำถาม

อะไรที่เรียกว่ารู้สึกผิดต่อพ่อกับแม่ ?

อีกทั้ง อะไรที่เรียกว่าให้อภัยในความเห็นแก่ตัวของปู่ ?

นัทธีเม้มปาก เขารู้สึกว่าความหมายที่แอบแฝงอยู่ในจดหมายฉบับนี้นั้นไม่ธรรมดา ดูเหมือนจะเก็บซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้ แต่คุณปู่กลับเขียนไว้อย่างคลุมเครือ ทำให้เขาเดาไม่ออกว่าความลับนี้คืออะไร

เมื่อรู้สึกจนปัญญา นัทธีจึงทำได้เพียงแค่อ่านจดหมายต่อไป : แต่นัทธี ปู่รักหลานมากนะ ปู่รู้ดีว่าเมื่อปู่จากไปแล้ว พวกลุงของหลานคงจะต้องแก่งแย่งบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปกับหลานอย่างแน่นอน ดังนั้นปู่จึงทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ให้กับหลาน ในพินัยกรรมฉบับนั้น มีหลักฐานการกระทำผิดของพวกลุงของหลานอยู่ ถ้าหากครอบครัวของเขายอมอยู่อย่างสงบ สันติ ปู่ก็หวังว่าหลานจะยอมปล่อยพวกเขาไปสักครั้ง

แต่ถ้าพวกลุงของหลานไม่ยอมอยู่อย่างสงบล่ะก็ ให้หลานนำพินัยกรรมออกมา ในเมื่อปู่ตายไปแล้ว ก็คงไม่ต้องอยู่เห็นจุดจบของพวกเขาอีก ลูกหลานต่างก็ต้องมีชีวิตเป็นของตนเอง หลานอย่าโทษว่าปู่พยายามปกป้องพวกลุงของหลานก็พอแล้ว พินัยกรรมฉบับนั้นอยู่กับพ่อแม่ของหลาน

พินัยกรรมอยู่กับพ่อแม่ ?

นัทธีถือซองจดหมายในมือเอาไว้แน่น พร้อมกับขมวดคิ้วจนเป็นรอยย่น

พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปก่อนคุณปู่เกือบสิบปี แล้วพินัยกรรมจะอยู่กับพ่อแม่ได้อย่างไร ?

ดังนั้น นี่น่าจะเป็นปริศนาอย่างหนึ่ง !

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้น

นัทธีหยุดความคิดของเขาเอาไว้ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา เมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นชื่อของวารุณี เขาก็นิ่งไปสักครู่ จากนั้นจึงกดรับสาย “ฮัลโหล ?”

เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชาย วารุณีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ดีจริง ๆ เขายอมรับสายแล้ว

เธอคิดว่าเขาจะไม่ยอมรับสายเสียอีก

ถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูเย็นชา แต่การที่เขายอมรับสายโทรศัพท์ ก็ทำให้วารุณีรู้สึกดีใจไม่น้อย เพราะในตอนเช้าเขายังไม่ยอมตอบข้อความ

ตอนนี้ยอมรับสายโทรศัพท์ หมายความว่าเขาหายผ่อนคลายอารมณ์โกรธไปได้ไม่น้อยแล้วใช่หรือไม่ ?

“นัทธี คุณเลิกงานรึยังคะ ?” วารุณีถาม

นัทธีขาดรับสั้น ๆ เพียงหนึ่งคำ

วารุณียิ้มออกมา “ดีจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นฉันกับเด็ก ๆ จะไปรับคุณ แล้วพวกเรากลับไปพร้อมกันดีไหมคะ ?”

นัทธีเม้มปาก “ไม่ต้องหรอก พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของวารุณีก็แข็งทื่อไปในทันที “แต่คุณเลิกงานแล้วไม่ใช่หรือคะ ?”

เดิมทีเธอคิดว่าการที่เขายอมรับสายโทรศัพท์ นั่นหมายความว่าเขาหายโกรธบ้างแล้ว

แต่ทว่าตอนนี้เขากลับปฏิเสธเธออีกครั้ง ดูเหมือนว่า เธอจะคิดเข้าข้างตัวเอง

“ผมอยู่ที่คฤหาสน์ไชยรัตน์ อีกเดี๋ยวผมจะกลับเอง”

พูดจบ นัทธีก็กดตัดสายโทรศัพท์ โดยไม่ให้วารุณีได้มีโอกาสพูดอะไรต่อ

เมื่อวารุณีมองเห็นหน้าจอโทรศัพท์ที่กลับมาสู่เมนูหลักอีกครั้ง เธอก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก

“แม่ครับ พ่อไม่ต้องการให้เราไปหาหรือครับ ?” อารัณเห็นวารุณีมีท่าทีซึมเศร้า จึงพอจะเดาเนื้อหาในสายโทรศัพท์ออก

วารุณีวางโทรศัพท์ลง จากนั้นจึงฝืนยิ้มและหันไปลูบศีรษะของเขาและไอริณ “ไม่มีอะไรหรอก พ่อก็แค่ให้พวกเรากลับไปก่อนน่ะ”

“แล้วพ่อล่ะคะ ? เมื่อไหร่พ่อจะกลับ ?” ไอริณถามพลางกะพริบตาปริบ ๆ

วารุณีปิดตาลง เพื่อปิดบังแววตาที่เศร้าหมองเอาไว้ “อีกเดี๋ยวพ่อก็กลับมาแล้ว เอาล่ะ ลูกทั้งสองนั่งให้ดี ๆ นะ แม่จะออกรถแล้ว”

“ค่ะ” ไอริณเชื่อในสิ่งที่เธอพูด และนั่งลงอย่างเชื่อฟัง

แต่อารัณกลับขมวดคิ้วเล็ก ๆ ของเขา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ