หลังจากที่จ้านเป่ยเซียวนั่งลงที่โต๊ะ และเห็นอาหารที่อยู่ตรงหน้า แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา และถามขึ้นด้วยความงุนงงในทันที : “นี่คืออาหารเจหรือ ?”
“ใช่แล้ว ใช้ผักที่อยู่ในภัตตาคารของท่านทำ ท่านให้ผักสดกองโตกับข้า แล้วยังคาดหวังว่าข้าจะทำไก่เป็ดปลาเนื้อให้ท่านอีกหรือ ทำได้เพียงแค่นี้แหละ” เฟิ่งชิงหัวหันมองอาหารและพูดขึ้นด้วยความรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย นางเป็นคนประเภทหากไม่ได้กินเนื้อก็ไม่มีความสุข อาหารเหล่านี้สำหรับนางแล้วช่างดูข้นแค้นยิ่งนัก
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบเห็ดหูหนูใส่เข้าปากหนึ่งชิ้น เคี้ยวสองครั้งแล้วกลืนลงคอไป จากนั้นจึงหันมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสีหน้าประหลาดใจในทันที
“ทำไม ไม่อร่อยหรือ ?” เฟิ่งชิงหัวรีบคีบเข้าปากหนึ่งชิ้นทันที รสชาติก็ใช้ได้นี่ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วหันมองจ้านเป่ยเซียว
“ทำไมถึงมีรสชาติของปลาได้ ?” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างงุนงง
“อาหารจานนี้เรียกว่ามะเขือม่วงผักเต้าเจี้ยวปรุงรส ท่านลองคีบมะเขือม่วงหนึ่งชิ้นดู”
จ้านเป่ยเซียวคีบตามที่ว่า พบว่าคล้ายคลึงมากจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะบนชิ้นมะเขือม่วงนี้ ยังคงมีเปลือกสีม่วงหลงเหลืออยู่ เขาแทบจะคิดว่าตนเองกินเนื้อปลาหนึ่งชิ้นเข้าไปจริง ๆ
จากนั้นจึงคีบหมาผัวโต้วฟูขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น ทั้งเผ็ดและชาลิ้น แต่รู้สึกถูกปากอย่างยิ่ง ไม่จืดชืดเหมือนกับเต้าหู้ก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย อ่อนนุ่มเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าทำอย่างไร ?”
“ก็ทำอย่างนี้นะสิ จะให้ทำอย่างไร ข้าบอกแล้วว่า ต่อให้ภัตตาคารของท่านแขวนหัวแกะหรือขายเนื้อสุนัข แต่อย่างน้อยก็ต้องทำอาหารที่กลืนลงคอได้ออกมา มิเช่นนั้นต่อให้บรรดาขุนนางเหล่านั้นไม่พูดออกมาตามตรง แต่ก็ต้องแอบพูดลับหลังว่าท่านอ๋องอย่างท่าน ตระหนี่เกินไปแล้ว”
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร นั่งกินอาหารเงียบกริบ
ทั้งสองผลัดกันคีบคนละคำ ไม่นานนักก็กินอาหารทั้งสามจานจนเกลี้ยง แม้แต่น้ำแกงก็ดื่มไปสองถ้วย
เฟิ่งชิงหัวพูดพลางหัวเราะ : “พวกท่านบอกว่าเป็นอาหารเจ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีของอย่างเช่นไข่ไก่ด้วย หากมีพระสงฆ์มาฉันละก็ คงต้องผิดศีลอย่างแน่นอน”
จ้านเป่ยเซียวจนใจ : “ไม่ใช่วัดสักหน่อย ย่อมไม่ใช่อาหารเจอย่างแท้จริง อย่ามัวพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่เลย กินเสร็จก็กลับจวนกัน”
ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความรักใคร่ที่ทั้งสองก็ยังไม่ทันสังเกตเห็น
เฟิ่งชิงหัวกลับจับคางแล้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ : “ท่านอ๋อง พวกเรามาร่วมมือกันเถอะ ?”
“ร่วมมือ ?”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า : “ท่านดูสิ หอไล่ตามเมฆาของท่าน เรียกได้ว่าทั้งถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน แต่อาหารเหล่านี้นะหรือ เรียกว่ายากจะอธิบายได้ในคำเดียว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องส่งผลต่อปริมาณลูกค้าอย่างแน่นอน ไม่สู้ ให้ข้าปรับปรุงรสชาติอาหาร ตั้งราคาเสียใหม่ จากนั้นท่านก็แบ่งกำรให้ข้าสองในสิบเป็นอย่างไร ?”
“เจ้าขาดแคลนเงินมากเลยหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว
“คงไม่มีใครรังเกียจที่มีเงินเยอะหรอกใช่ไหม ?” เฟิ่งชิงหัวผายมือ แล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ
จ้านเป่ยเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้รตอบรับนางในทันที กลับพูดว่า : “ข้าขอคิดดูก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...