เซียวอี้หรี่ตามองทิศทางที่เฮยเฟิงจากไป เขาคลี่ยิ้ม แม้ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน เซียวอี้จะดูถูกกองกำลังทหาร แต่การผูกมิตรกับพวกเขาย่อมดีกว่าการตั้งตนเป็นศัตรูเสมอ
เขาหันร่างกลับไปมองฉินกวงหมิงและบุตรสาว ภายใต้ฤทธิ์ยา พวกเขาหลับสนิทดียิ่ง ไม่เกินเที่ยงพวกเขาก็ฟื้นคืนสติ
เมื่อเห็นเซียวอี้อยู่ที่หน้าเตียง เสี่ยวเยว่พลันร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด เธอฝืนลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะโถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดของเซียวอี้ พลางสะอื้นไห้ “พี่เซียว! ฉันนึกว่าจะไม่ได้พบพี่อีกแล้ว!”
เซียวอี้ลูบแผ่นหลังของหญิงสาว เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวถูกแขวนลอยสูง หัวใจของเขาพลันรวดร้าวอีกครั้ง ความรักใคร่ที่เขามีต่อเธอเติบโตงอกเงย เขาสัมผัสเรือนผมยาวของเธอด้วยคางของตน เซียวอี้เอ่ยเบา ๆ ว่า "เสี่ยวเยว่ เซียวอี้จะไม่ยอมให้เรื่องเลวร้ายเกิดกับเธออีก"
เสี่ยวเยว่ซุกตัวในอ้อมกอดของเซียวอี้ ความหวาดหวั่นที่บาดลึกหัวใจของเธอค่อย ๆ จางหายไป
ฉินกวงหมิงไม่พูดจ้ออย่างที่เคย นิ้วเขาสั่นระริก ขณะหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งซอง เขาจุดมันด้วยนิ้วอันสั่นเทาแล้วยกขึ้นสูบ ฉินกวงหมิงหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวว่า "เซียวอี้ เร็ว ๆ นี้ฉันว่าจะไปพักร้อน ได้โปรดช่วยดูแลยัยหนูด้วย ฉันสบายใจเมื่อรู้ว่าแกจะอยู่กับเธอ ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดตัวเองสักพัก"
“พ่อ ทำไมพ่อถึงทำแบบนี้?” เสี่ยวเยว่เช็ดน้ำตา แล้วถามอย่างสับสน
ทว่าเซียวอี้เพียงพยักหน้า เขาเอ่ยว่า "ปล่อยเขาไปเถอะ หลังรอดชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายแรงมา พี่ว่าเขาน่าจะฉุกคิดเรื่องหลายอย่างได้ สมเหตุสมผลแล้วที่เขาจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกบ้าง"
ฉินกวงหมิงเงยหน้ามองเซียวอี้ ก่อนรำพึงอย่างสะท้อนใจว่า "ใช่แล้ว ฉันยุ่งกับงานมาครึ่งค่อนชีวิต รู้แต่วิธีดิ้นรนหาเงินทั้งวันทั้งคืน ฉันไม่ได้กลับบ้านเกิดมานานเป็นสิบปีแล้ว และคงไม่มีโอกาสได้กลับอีก ถ้าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอีกครั้ง"
“พ่อ พ่อจะไปนานแค่ไหน? หนูขอไปกับพ่อด้วย!” เสี่ยวเยว่เดินเข้าไปใกล้ฉินกวงหมิง เธอยกแขนโอบรอบคอบิดาของเธอแล้วเอ่ยด้วยน้ำตาคลอเบ้า ครั้งนี้เธอเองก็ประสบความทุกข์ทรมานอย่างหนักหนาสาหัสเช่นกัน เธอเพิ่งตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความอ่อนแอของชีวิตมนุษย์ และความสำคัญของบุคคลในครอบครัว
ฉินกวงหมิงตบร่างบุตรสาว ก่อนพูดว่า "แกอยู่ที่นี่คอยช่วยเซียวอี้เถอะ ลูกพ่อ ชีวิตนี้สั้นนัก แกต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไล่ตามสิ่งที่แกรัก จะได้ไม่ต้องเสียใจในอนาคต"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวเยว่พลันหน้าแดงซ่าน สายตาเหลือบมองเซียวอี้โดยไม่รู้ตัว
ในหัวของหญิงสาวมีความคิดยุ่งเหยิงมากมาย ถึงเธอจะแอบซ่อนความรักที่มีต่อเซียวอี้ แต่บิดาของเธอก็รู้อยู่ดี ตอนนี้ความลับของเธอถูกเปิดเผยโดยฉินกวงหมิงเสียแล้ว ยามที่มองใบหน้าอันหล่อเหลาสงบนิ่งของเซียวอี้ หัวใจของเสี่ยวเยว่พลันวุ่นวายราวกับกวางเดินชนกันไปมา
ฉินกวงหมิงไม่สนใจกับเรื่องนี้มากนัก หลังเอ่ยจบ เขาก็หมุนตัวเข้าห้องไปเก็บข้าวของ จากนั้นจึงเดินออกจากหอจี้ซื่อจากไปอย่างรวดเร็ว
"พ่อ!" เสี่ยวเยว่เหม่อมองร่างอ้วนป้อมของบิดาค่อย ๆ หายลับสายตาไปที่ปลายถนนไท่ซาน น้ำตาเธอไหลพรั่งพรูไม่หยุด
"เสี่ยวเยว่ ครั้งนี้พ่อเธอตกใจมาก ปล่อยให้เขาออกผจญภัย และพักผ่อนสักพักเถอะ! เธอเองก็ควรพักผ่อนเหมือนกัน วันนี้ไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยนะ!" เซียวอี้เอื้อมมือวางบนไหล่เสี่ยวเยว่ พลางปลอบประโลมเธออย่างอ่อนโยน
เสี่ยวเยว่มองหน้าเซียวอี้ และอดนึกถึงคำพูดของบิดาตนก่อนหน้านี้ไม่ได้ หัวใจเธอเต้นตึกตักอีกครั้งเหมือนกลองกระหน่ำ เธอรีบพยักหน้า และเดินฉิวเข้าไปในห้องตัวเอง
“เซียวอี้ คุณอยู่ที่นี่เอง!” เมื่อเสี่ยวเยว่เดินกลับเข้าไปในห้องแล้ว หลี่ฉิงซาน คณบดีอาวุโสของโรงพยาบาลก็เดินเข้ามาในคลินิกพอดี
“คุณหมอหลี่!” เซียวอี้ยิ้ม ขณะหันร่างกลับมาทักทายเขา
“เซียวอี้ บัตรเชิญการประชุมของสมาคมแพทย์แผนจีนเพิ่งออกอย่างเป็นทางการในวันนี้ ฉันเลยรีบเอามาให้คุณ” หลี่ฉิงซานกล่าว ขณะที่หยิบบัตรเชิญออกมา และส่งมอบให้เซียวอี้อย่างเคารพเลื่อมใส
เซียวอี้มองบัตรเชิญ ก่อนวางมันบนโต๊ะ เขายิ้มอย่างสุภาพและเอ่ยว่า "ขอบคุณครับ! คุณเป็นคนอบอุ่นมีน้ำใจเหลือเกิน"
หลี่ฉิงซานถูมือของเขาไปมา แล้วพูดว่า "ฉันเองก็อยากเรียนรู้เคล็ดวิชาเข็มจตุรงค์ของคุณเพิ่มเหมือนกัน เซียวอี้!"
"ฮ่า ๆ การที่คุณขยันขนาดนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง! เอาล่ะครับ คนไข้มาพอดี!" เซียวอี้ทักทายผู้ป่วยที่เพิ่งเดินผ่านประตูเข้ามา และนั่งลงด้วยรอยยิ้ม
"คุณป่วยเป็นอะไรครับ?" เซียวอี้ถาม
ผู้ป่วยเป็นชายร่างผอมในวัยยี่สิบกว่าปี เขาดูมัวหมองและอ่อนแอ เมื่อได้ยินคำถามของเซียวอี้ ผู้ป่วยก็รีบลุกขึ้นและเลิกชายเสื้อขึ้น
ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลันอ้าปากค้าง
สภาพร่างกายของเขาแบ่งเป็นสองส่วน ร่างกายครึ่งบนของเขาปกคลุมด้วยกลุ่มก้อนเนื้อเยื่อร้ายสีม่วงขนาดเท่าลูกองุ่น ของเหลวส่งกลิ่นเหม็นฉุนไหลเยิ้มออกมาจากเนื้อเยื่ออย่างน่าขยะแขยง ที่น่าแปลกคือร่างกายครึ่งล่างไม่บุบสลายแต่อย่างใด ปราศจากก่อนเนื้อร้าย ทำให้ดูแปลกประหลาดมาก
เซียวอี้เองก็ตกใจเมื่อพบโรคประหลาดเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอโรคประหลาดเช่นนี้ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ตลอดกว่า 300 ปีแห่งการเป็นแพทย์
"เซียวอี้ นี่คือมะเร็งเนื้อเยื่อบ็อกซิกา!" หลี่ฉิงซานเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
มีผู้คนยืนออเต็มหน้าประตูหอไป่เซ่า ผู้ป่วยมากมายเดินเข้าออกประตูไม่หยุดหย่อนประดุจน้ำไหลหลาก อาคารอันใหญ่โตรูปทรงแปลกตา และแผ่นป้ายทองคำขนาดใหญ่ทำให้ผู้คนไม่กล้าล้ำกราย พวกเขาต่างได้กลิ่นหอมเข้มข้นของสมุนไพรจีนก่อนเดินเข้าไปข้างใน เพียงมองจากภายนอก พวกเขาก็สามารถมองเห็นสภาพวุ่นวายโกลาหลข้างในได้อย่างชัดเจน ป้ายร้อยปีนั้นมีมูลค่าหาที่เปรียบไม่ได้อย่างแท้จริง
เซียวอี้และคนอีกสองคนเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน
เด็กสาวผู้หนึ่งยืนบริการอยู่บริเวณประตูดูตกใจมากที่เห็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเนื้อเยื่อบ็อกซิกากลับมาที่นี่ เธอเหลือบตาขึ้นฟ้า และไม่ยอมเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา
แน่นอนว่าเซียวอี้เฉียบคมพอที่จะรับรู้ถึงสิ่งนี้ เขาจ้องเธออย่างดุดัน ก่อนประกาศกร้าวว่า "ฉู่ป๋อไหวอยู่ที่ไหน? เรียกตัวเขาออกมา!"
หญิงสาวก้มหน้างุด เธอดูลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายจึงไม่เอ่ยอะไร และรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักฉู่ป๋อไหวในชุดคอจีนก็เดินเยื้องย่างลงบันไดจากชั้นสองอย่างเชื่องช้า
"นี่มันหมอเซียวผู้เก่งกาจนี่นา? โอ้ หลี่ฉิงซานก็อยู่ที่นี่ด้วย ช่างเป็นภาพที่เจริญหูเจริญตาจริง ๆ เลย!" ฉู่ป๋อไหวเอ่ยประชดประชัน มือเขาถือกาน้ำชาสีม่วงขนาดเล็กไว้
"ฉู่ป๋อไหว คุณสมองนิ่มเกินไปแล้ว ตอนที่เจอผู้ป่วยโรคนี้ ทำไมถึงไม่รีบรายงานทางการ กลับส่งผู้ป่วยไปที่หอจี้ซื่อ?" หลี่ฉิงซานเดือดดาลจนไม่อาจอดรนทนต่อเม็ดทรายในนัยน์ตาได้ เขาก้าวออกมาข้างหน้าทันที และตำหนิฉู่ป๋อไหวด้วยเสียงดุดันเฉียบขาด
ฉู่ป๋อไหวพ่นลมหายใจเย็นชา เขาปรายตามองเซียวอี้ ก่อนพูดว่า "หมอหลี่ พวกเราควรเลือกสิ่งที่ถูกต้องทุกครั้งสิครับ ผมคิดว่าก่อนหน้านี้ผมตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ในเมื่อเมืองไห่ของเรามีหมอเซียวผู้เก่งกาจอยู่ทั้งคน ผมเกรงว่าโรคมะเร็งเนื้อเยื่อบ็อกซิกาเช่นนี้คงจะถึงคราวสิ้นท่าแล้ว ผมอนุมานว่าเขาคงรักษาหายในแค่ไม่กี่นาที จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องรายงาน”
“ฉู่ป๋อไหว คุณคิดว่าโรคมะเร็งคืออะไรกัน? คุณไม่รู้เหรอว่าโรคนี้แพร่ระบาดง่ายมาก? หากมีอะไรผิดพลาด คุณจะรับผิดชอบไหวรึเปล่า?” หลี่ฉิงซานโกรธจัด
"หลี่ฉิงซาน คุณไม่ต้องออกตัวปกป้องเซียวอี้หรอก ถ้าเขาไม่มีปัญญารักษาผู้ป่วย ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ต้องตำหนิผมสักหน่อย” ฉู่ป๋อไหวมีป้ายร้อยปีคอยคุ้มกะลาหัว เขาจึงไม่ยำเกรงหลี่ฉิงซานแม้แต่น้อย เขาเพียงจ้องหลี่ฉิงซาน และเอ่ยอย่างเย็นชา
"คุณ..." หลี่ฉิงซานร่างสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
ทว่าเซียวอี้กลับแค่นหัวเราะในใจ เขาเดินเข้าไปหาหลี่ฉิงซาน พลางจ้องฉู่ป๋อไหวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย และพูดว่า "ฉู่ป๋อไหว คุณใจจืดใจดำเกินไปแล้ว ถ้าผมไม่โต้ตอบกลับเสียบ้าง คงนับว่าทำผิดต่อทุกคน"
เมื่อฉู่ป๋อไหวได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเขาพลันสว่างวาบ เขายกมือชี้หน้าเซียวอี้ พลางเอ่ยอย่างดูแคลน "ฉันรู้ว่าหมอเซียวมีทักษะการแพทย์อันยอดเยี่ยมที่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ ถ้าวันนี้หมอเซียวไม่มีปัญญารักษา สมาคมแพทย์แผนจีนก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมอบใบประกอบโรคศิลปะเป็นกรณีพิเศษให้นายอีก และไม่ถือว่านายคือผู้สืบทอดเคล็ดวิชาเข็มจตุรงค์"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมเกิดใหม่ เป็นหมอเทวดามือวิเศษ
รออยู่ครับ...