หลินเมิ่งหวันใจหายวาบ
ฉู่โม่หยวนเองก็ขมวดคิ้ว เขาถลกชายเสื้อเตรียมจะคุกเข่า แต่ฉู่จิ่นจ้านกลับคว้าแขนของเขาไว้
ฉู่จิ่นจ้านมองฉู่โม่หยวน บนใบหน้าปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและจนปัญญา “ข้าแค่อยากจะแกล้งเจ้าเท่านั้น เหตุใดจะต้องจริงจังเช่นนี้ด้วย วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองคนเข้ามาจัดการได้ทันท่วงที เวลานี้ข้าคงจะสร้างปัญหามากมาย ไม่รู้ถูกผิด เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี”
“เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด ไม่อย่างนั้นน้องหกของข้าคงต้องทุกข์ใจเป็นแน่” ฉู่จิ่นจ้านมองหลินเมิ่งหวันและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แต่หลินเมิ่งหวันกลับไม่ยอมลุกขึ้นและโค้งศีรษะคำนับฉู่จิ่นจ้านด้วยความเคารพ
นางมองฉู่จิ่นจ้านและเอ่ยว่า “ทูลไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย หม่อมฉันทราบดีว่าพี่สาวคนโตได้ทำความผิดอย่างมหันต์ ที่ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยไม่ทรงโกรธเคืองหม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ หม่อมฉันขอบังอาจถามไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยสักเล็กน้อย ว่าไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยจะทรงทำอย่างไรกับเรื่องนี้เพคะ”
ฉู่จิ่นจ้านหุบยิ้มและมองหลินเมิ่งหวันด้วยสีหน้าที่จริงจัง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “หลินเป้ยเหยาวางยาข้าเช่นนี้ นางคงมีความตั้งใจที่จะยึดเหนี่ยวข้าไว้แน่นอน ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด นางคงคิดหาทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว ถ้ามีคนจับได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างข้ากับนาง ชื่อเสียงของข้าก็คงไม่มีเหลือ”
“คิดถึงที่เจ้าช่วยข้าไว้ แล้วก็เพราะเห็นแก่หน้าของน้องหก ดังนั้นข้าจะไม่พาลไปโทษคนอื่นๆ ในตระกูลหลิน แต่สำหรับหลินเป้ยเหยา ข้าอภัยให้ไม่ได้”
หลินเมิ่งหวันถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงโค้งคำนับฉู่จิ่นจ้านอีกครั้ง “ขอบพระทัยเพคะไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย”
ฉู่จิ่นจ้านรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาได้ยินมานานแล้วว่าหลินเป้ยเหยากับหลินเมิ่งหวันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขนาดเมื่อครู่ตอนที่หลินเป้ยเหยากับพระองค์ไปถึงศาลา นางยังร้องสะอึกสะอื้นพลางเช็ดน้ำตา บอกว่านางไม่ควรทำแบบนี้กับหลินเมิ่งหวัน แต่นางไม่อยากเห็นหลินเมิ่งหวันทำผิดครั้งใหญ่...
ตอนนี้หลินเมิ่งหวันไม่ได้ขอร้องแทนหลินเป้ยเหยา และนั่นทำให้ฉู่จิ่นจ้านประหลาดใจจริงๆ
แต่ถึงกระนั้นฉู่จิ่นจ้านก็ไม่ได้ต้องการสืบสาวไปมากกว่านี้
เขามองฉู่โม่หยวนและกล่าวว่า “น้องหก เวลานี้พี่อ่อนล้าจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก คนรอบข้างของเจ้าฝีมือดี เจ้าช่วยสั่งให้คนเอาตัวหลินเป้ยเหยากลับไปทิ้งไว้ในศาลา แล้วหาผู้ชายมาร่วมแสดงไปกับนางเถิด”
ในเมื่อหลินเป้ยเหยาต้องการผู้ชายขนาดนี้ เขาก็จะเติมเต็มหลินเป้ยเหยาด้วยการมอบผู้ชายให้กับนาง!
หลินเมิ่งหวันยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างกายฉู่โม่หยวนโดยไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของฉู่จิ่นจ้าน
ฉู่โม่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า “เสด็จพี่วางพระทัยได้”
“เสวียนยี ไปจัดการซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เสวียนยีรับคำและพาหลินเป้ยเหยาออกไปจากตำหนัก จากนั้นจึงทิ้งนางไว้ในศาลาแห่งนั้น
หลินเป้ยเหยาใช้ยาเสน่ห์กับฉู่จิ่นจ้านในปริมาณที่มาก ดังนั้นคนที่นางจัดเตรียมไว้จะต้องมาปรากฏตัวหลังจากที่ยาเริ่มสิ้นฤทธิ์ไปแล้วเป็นแน่
ถ้าคนอื่นๆ มาถึงเร็วเกินไป พวกเขาจะรับรู้ได้ว่าฉู่จิ่นจ้านถูกวางยา ดังนั้นเรื่องนี้จะไม่ถูกตรวจสอบ
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้ฉู่โม่หยวนจึงยังมีเวลาพอที่จะจัดการทุกอย่าง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และหลินเป้ยเหยาก็ฟุบอยู่บนโต๊ะมาหินโดยที่ยังไม่ฟื้น
ไม่นานหลังจากนั้น ชายสวมชุดผ้าแพรสีสันงดงามคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในศาลาอย่างระมัดระวัง คนผู้นั้นก็คือหนานซื่อเวิ่นที่เคยเยาะเย้ยหลินเมิ่งหวันที่หอภาพวาดหนังสือเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง
“คารวะจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย” หนานซื่อเวิ่นประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อม เขาก้มหัวจนศีรษะแทบจะจรดพื้น
เขาหาทางติดตามคนของจวนหนานเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงบุปผาในวันนี้จนได้ ทั้งหมดก็เพราะอยากแสดงตนออกมา แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีตัวตนเลยสักนิด แม้ว่าจะเริ่มชวนคนอื่นพูดคุย แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจจะสนใจเขาเลย และนั่นทำให้หนานซื่อเวิ่นรู้สึกเป็นทุกข์จริงๆ
แต่เมื่อครู่นี้เอง มีขันทีคนหนึ่งมาบอกเขาว่าจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยเรียกเขาให้มาพบที่ศาลาริมสระน้ำเพื่อสอบถามบางอย่าง
หนานซื่อเวิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ และเขาก็รีบมาที่นี่ทันที
จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยเป็นพระโอรสของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทั้งยังเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยซึ่งเป็นที่โปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเขาได้รับความโปรดปรานจากจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย เขาก็จะหัวเราะในความฝันได้แล้วจริงๆ
หนานซื่อเวิ่นกลั้นใจตั้งสมาธิและนอบน้อมเป็นอย่างมาก แม้แต่จะหายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้า
เพียงแต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับใดๆ จากคนในศาลา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก