สวีซื่อ พูดอย่างขมขื่น “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไร้เหตุผล ถ้าเจ้าไม่ไปเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเจ้าได้”
หลินเมิ่งหวันพยักหน้าและกล่าวว่า “ป้าสะใภ้รองพูดมีเหตุผล คราวหน้าหากจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยเรียกข้าไป ข้าจะแจ้งว่าป้าสะใภ้รองไม่อนุญาตให้ข้าไป”
สวีซื่อกลัดกลุ้มใจ “ข้าบอกเมื่อใดกันว่าไม่ให้เจ้าไป”
หลินฮูหยินใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “เอาล่ะ พูดให้น้อยลงหน่อย”
สวีซื่อหงุดหงิดมาก มองหลินฮูหยินใหญ่ด้วยความไม่พอใจ
หลินฮูหยินใหญ่ชำเลืองมองและกล่าวว่า “เรื่องนี้เกิดจากจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยและข้าคิดว่าจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยจะจัดการเรื่องนี้อย่างดีแน่นอน ตอนนี้ข้างนอกมีข่าวลือเสียหายออกมา ยิ่งไปกว่านั้นบุตรสาวจวนหลินต้องออกไปอย่างสง่างาม ให้ผู้คนได้เห็นความงดงามของบุตรสาวจวนหลิน”
“งานแข่งขันโปโลในครั้งนี้ เด็กๆทุกคนล้วนไปได้”
“สะใภ้ใหญ่ พรุ่งนี้พาเด็กๆทุกคนออกไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ เงินเอาจากเงินกองกลางไปได้”
ประโยคสุดท้าย เป็นการปลอบโยนทุกคน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแววตาของทุกคนต่างก็เป็นประกายอย่างที่คิด
หลินเมิ่งหวันเม้มริมฝีปากและพูดว่า “ท่านย่าให้เมิ่งหวันเป็นคนออกเงินเพื่อซื้อเครื่องประดับและเสื้อผ้าในครั้งนี้เถิดเจ้าค่ะ”
เรื่องในครั้งนี้นางเป็นต้นเหตุ และแม้ว่าจะโยนความผิดให้ฉู่โม่หยวนแล้ว หลินเมิ่งหวันก็ไม่สามารถสบายใจได้
อย่างไรก็ตาม หลินฮูหยินใหญ่ส่ายหัว “ไม่จำเป็น มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ”
“พอแล้ว ทุกคนกลับไปได้เมิ่งหวันอยู่ต่อ”
หลินฮูหยินใหญ่โบกมือให้ทุกคน ทุกคนก็ทำความเคารพและจากไปทันที
ก่อนจะออกไปสวีซื่อและหลินซิงโหรวยังมองหลินเมิ่งหวันด้วยความเกลียดชัง
เมื่อทุกคนจากไป ในห้องก็เงียบสงบลงมาก
หลินฮูหยินใหญ่มองไปที่หลินเมิ่งหวันและถามว่า “ตอนนี้ทุกคนจากไปแล้ว เจ้าบอกความจริงกับข้า เหตุใดเจ้าถึงไปที่หอจุ้ยหง”
ค่ำคืนมืดมิดและแสงเทียนสั่นไหวสะท้อนบนแววตาของหลินฮูหยินใหญ่มันเต็มไปด้วยสติปัญญาและความปราดเปรื่อง
หลินเมิ่งหวัน บีบผ้าเช็ดหน้าในมือของนางโดยไม่รู้ตัว
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วสารภาพ
ท่านย่าเป็นปราดเปรื่อง มีบางเรื่องหากนางซ่อนไว้ มีแต่จะทำให้ท่านย่ากังวลใจ
นอกจากนี้ เรื่องที่นางไปพบกับฉู่โม่หยวนที่หอจุ้ยหงก็นับว่าประหลาดมาก นางจำเป็นต้องให้หาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ท่านย่า
อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลินเมิ่งหวันกำลังเล่าเรื่อง ก็ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงเล็กน้อย
นางปกปิดความจริงเรื่องที่ว่านางแต่งตัวเป็นโสเภณี เล่าเพียงว่าฉู่โม่หยวนพานางไปพบชูยียี โดยหวังจะอาศัยชูยียีจัดตั้งหน่วยข่าวกรอง จากนั้นให้นางมาดูแล
หลินฮูหยินใหญ่ประหลาดเป็นที่สุด “เหตุใดจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยถึงต้องให้เจ้ามาดูแลล่ะ”
“เอ่อ...ข้าคิดว่า ได้รู้ข่าวรอบด้านให้มากขึ้นจะเอื้อประโยชน์ในการทำธุรกิจ จึงทูลเรื่องนี้แก่จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย คิดไม่ถึงจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยจะนำมาใส่ใจด้วย”
หลินเมิ่งหวันยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่คิ้วของหลินฮูหยินใหญ่ก็ขมวดเข้าหากัน
นางมองที่หลินเมิ่งหวันอย่างกังวล “เป็นเรื่องดีที่จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยใส่ใจเจ้า แต่เจ้าต้องระวังมากขึ้นด้วย”
“เรื่องหน่วยข่าวกรอง ถ้าล้มเลิกไปได้ก็ล้มเลิกเถิด หากวันข้างหน้าพัวพันเข้ากับเกี่ยวข้องกับราชสำนัก เกรงว่าจะเกิดหายนะ”
แววตาของ หลินฮูหยินใหญ่ฉายความกังวล หลินเมิ่งหวันตอบกลับอย่างน่าเอ็นดู
สองคนคุยกันเป็นเวลานาน หลินฮูหยินใหญ่ท้วงหลินเมิ่งหวันให้ระมัดระวังตลอด ไม่ให้เข้าไปพัวพันเรื่องราชสำนัก
กระทั่งยามไฮ่ หลินฮูหยินใหญ่จึงปล่อยให้ หลินเมิ่งหวันกลับไป
ค่ำคืนนั้นมืดมิด ในที่สุดหลินเมิ่งหวันก็ล้มตัวลงบนเตียง
นางเหนื่อยมากแต่กลับไม่รู้สึกง่วง เพียงแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
ในชาติก่อนแม่นางอู๋เคยจัดงานแข่งขันโปโลหรือไม่นั้น หลินเมิ่งหวันก็ไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก