หลินเมิ่งหวันกล่าวว่า “หลี่เล่อหย่ากับจี้เมิ่งฉีเป็นคนช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าพวกนางรู้เข้าว่าตอนนี้ของที่ข้าซื้อให้น้องจื่อยวนไปอยู่บนตัวของพี่ซิงโหรว ท่านคิดว่าพวกนางจะพูดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
สีหน้าของสวีซื่อเปลี่ยนไปทันที หลินเมิ่งหวันเอ่ยเรียบๆ ว่า “ป้าสะใภ้รอง คิดว่าท่านกับพี่ซิงโหรวคงไม่อยากจะถูกประณามจนเสียชื่อว่าปฏิบัติกับลูกของอนุภรรยาอย่างโหดร้ายและเหยียดหยามนางใช่หรือไม่ล่ะเจ้าคะ”
หลินเมิ่งหวันไม่ได้พูดเสียงดัง แต่นางเอ่ยอย่างมั่นคงและมั่นใจว่าสวีซื่อจะเก็บคำพูดเหล่านี้ไปใส่ใจ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด สวีซื่อเอ่ยอย่างกังวลว่า “แน่นอนว่าจะปล่อยให้คนอื่นเอาไปพูดไร้สาระไม่ได้!”
สีหน้าของสวีซื่อเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด
หลินเมิ่งหวันพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่เจ้าค่ะ จะให้คนอื่นเอาไปพูดไม่ได้ แต่เงื่อนไขแรกก็คือจะปล่อยให้คนอื่นจับผิดได้ไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของพี่ซิงโหรว เราต้องระมัดระวังให้มากขึ้น จะให้เกิดช่องโหว่ใดๆ ไม่ได้”
“ตอนนี้ถ้าท่านดูแลน้องจื่อยวนเป็นอย่างดี คนนอกเห็นก็จะพูดกันว่าพี่น้องจวนหลินของเรารักใกล้ปรองดองกัน พูดว่าเอกภรรยาอ่อนโยนใจดี ดีต่อพี่ซิงโหรว และก็เป็นประโยชน์อย่างมาก”
สวีซื่อพยักหน้า “เจ้าพูดถูก”
ทันใดนั้นนางก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางเงยหน้ามองหลินเมิ่งหวันและกล่าวว่า “เมิ่งหวัน ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะมีความรอบคอบขนาดนี้”
แต่ไหนแต่ไรหลินเมิ่งหวันเป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหอง แม้แต่กับหลินซ่างซูก็ยังหาเรื่องทะเลาะได้ ไหนเลยจะมาสนใจความคิดเห็นของคนอื่น
แปลกจริงๆ ที่คำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของหลินเมิ่งหวัน
หลินเมิ่งหวันยิ้มน้อยๆ “ข้าเองก็เริ่มมีความคิดความอ่านขึ้นมา วันนั้นข้าคุยกับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยอยู่นาน ก็เลยได้อะไรดีๆ มามากมาย”
นางเป็นฝ่ายจับมือสวีซื่อและเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ป้าสะใภ้รอง จริงๆ แล้วข้าเองก็เห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ถึงอย่างไรหากจวนหลินมีชื่อเสียงดีข้าก็ได้ดีไปด้วย เมื่อข้าแต่งงานเข้าจวนจิ่งอ๋องก็จะมีหน้ามีตาไปด้วย อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยทำเรื่องแย่ๆ เอาไว้ ตอนนี้จึงต้องใส่ใจให้มากขึ้น”
สวีซื่อพยักหน้าอย่างเห็นพ้องอีกครั้งและเห็นด้วยกับคำพูดของหลินเมิ่งหวัน
หลินเมิ่งหวันยิ้มและบอกว่า “ท่านป้ารอง คุยเรื่องนี้กันชัดแล้ว เรื่องเงินน่ะข้าไม่ได้สนใจหรอก ชุดกับเครื่องประดับเหล่านั้นถ้าพี่ซิงโหรวชอบก็ให้นางไปเถอะ ส่วนน้องจื่อยวน ต่อไปข้าจะหาโอกาสหาของไปมอบให้นางเอง”
สวีซื่อประหลาดใจสุดขีด นางไม่เคยคิดเลยว่าได้อะไรมากมายขนาดนี้ นางจับมือหลินเมิ่งหวันและชมเชยนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลินเมิ่งหวันกล่าวกับสวีซื่ออย่างสุภาพอีกสองสามคำ จากนั้นจึงขอตัวลากลับไปที่สวนแสงอรุณ
พระอาทิตย์ส่องแสงสวยงาม ดอกไม้ภายในสวนก็ผลิบานงามตา
ขณะที่มองดูดอกไม้ในกระถางที่นางนำกลับมาจากสวนดอกบัวเมื่อสองสามวันก่อน หลินเมิ่งหวันก็ถามว่า “หลินเป้ยเหยาเป็นอย่างไรบ้าง”
เฝ่ยชุ่ยบอกว่า “เดิมทีคุณหนูใหญ่ป่วยหนักมาก แต่หลี่อี๋เหนียงกลับมาที่จวนหลี่เมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนจะเชิญหมอที่มีชื่อเสียงมากรักษาคุณหนูใหญ่ เขียนใบสั่งยาให้คุณหนูใหญ่ใหม่อีกครั้ง”
เฝ่ยชุ่ยขยับเข้าไปใกล้หลินเมิ่งหวันและลดเสียงลง “ตอนนี้คนของสวนดอกบัวระมัดระวังมาก เรื่องการต้มยาก็มีป้านเซี่ยกับเหริ่นตงลงมือต้มตัวเอง ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปยุ่ง บ่าวเองก็หาข่าวมามากกว่านี้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
นัยน์ตาของหลินเมิ่งหวันเป็นประกายเล็กน้อย มุมปากของนางแย้มขึ้นเบาๆ “เป็นธรรมดาที่พวกนางจะระมัดระวังขึ้น คิดว่าอาการป่วยของหลินเป้ยเหยาคงจะหายดีเร็วๆ นี้”
นางเดินไปที่กระถางดอกไม้และหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดตอที่โผล่ออกมา กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ได้ร้อนใจใดๆ
เจินจูกับเฝ่ยชุ่ยยืนอยู่ข้างๆ คอยเป็นลูกมือให้หลินเมิ่งหวันและไม่ได้ถามอะไรมาก
หลินเมิ่งหวันตัดแต่งกระถางดอกไม้อย่างพิถีพิถันโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา (10-15 นาที)
นางมองอย่างละเอียดจากนั้นจึงวางกรรไกรลงด้วยความพอใจ จากนั้นจึงมองเฝ่ยชุ่ยและเอ่ยว่า “นำกระถางดอกไม้นี้ไปให้น้องจื่อยวนบอกนางว่า ของที่ตัวเองชอบก็ต้องพยายามปกป้องไว้ให้ได้ ถ้านางเอาแต่ยอมและหงอ ไม่ว่าใครก็ช่วยนางไม่ได้”
วันนี้หลินเมิ่งหวันพูดกับสวีซื่อชัดเจนแล้ว ต่อไปถ้าคิดจะทำอะไร สวีซื่อจะต้องพิจารณาให้ดีก่อน การใช้ชีวิตของหลินจื่อยวนก็จะง่ายมากขึ้น
แต่หลินเมิ่งหวันก็รู้ดีว่า ความเย่อหยิ่งจองหองของหลินซิงโหรวไม่ได้ด้อยไปกว่านางคนก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก