ภายในใจของหลินซ่างซูรู้สึกไม่ดี ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้น เขารู้สึกว่าไฟในใจที่กำเริบอยู่ในหัวใจตอนนี้ไม่ได้ระบายออกมา กลับกันจะต้องเก็บอัดอั้นไว้ ทำให้อวัยวะตันอวัยวะกลวงของเขารู้สึกทุกข์ระทม
แต่สิ่งที่หลินเมิ่งหวันพูดนั้นล้วนเป็นความจริง คนทั้งสามคนนี้เขาจัดการทำอะไรไม่ได้เลย
ยิ่งคิดอย่างนี้ หลินซ่างซูยิ่งไม่พอใจ ยิ่งรู้สึกได้ทันทีว่าหลินเมิ่งหวันไม่ได้อยู่ในการควบคุมดูแลของตนเอง
เขาแสดงมาดขรึมกับหลินเมิ่งหวัน ล้วนเป็นเรื่องตลกจริงๆ
หลินเป้ยเหยาเห็นหลินซ่างซูไม่ได้โต้แย้ง นางเลยร้อนใจเป็นอย่างมาก
คนที่นางพึ่งพาอาศัยได้ก็มีเพียงหลินซ่างซู หากหลินซ่างซูไม่ออกหน้าให้นางกับหลี่อี๋เหนียง พวกนางจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร?
แล้วเมื่อครู่ที่หลินเมิ่งหวันป้อนยาให้หลี่อี๋เหนียง หากว่าเป็นยาพิษ จะทำอย่างไรดี?
หลินเป้ยเหยาครุ่นคิดอย่างว่องไว มองหลินเมิ่งหวันด้วยความแค้นเคือง กล่าวว่า“หลินเมื่อ ในสายตาของเจ้ายังมีท่านพ่อหรือไม่? เจ้าไม่เคารพท่านพ่อเยี่ยงนี้ อกตัญญูยิ่งนัก! สิ่งสำคัญของราชสำนักคือความกตัญญูกตเวที หากฮ่องเต้กับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยรู้ว่าเจ้ากระทำเยี่ยงนี้ ไม่มีทางให้เจ้าอภิเษกสมรสเข้าราชวงศ์อย่างแน่นอน!”
ตอนนี้หลินเมิ่งหวันไม่ใช่อาศัยการหมั้นหมายกับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยใช้อำนาจทางมิชอบหรือ? เพียงแค่การหมั้นหมายของหลินเมิ่งหวันเป็นโมฆะ นางยังจะมีการวางมาดใหญ่โตอะไรได้?
หลินเมิ่งหวันมองหลินเป้ยเหยาแล้วกล่าวอย่างราบเรียบขึ้นว่า“ก่อนที่จะมาตำหนิว่าข้ากตัญญูหรือไม่นั้น ดูก่อนเถอะนะว่าท่านพ่อกับหลี่อี๋เหนียงทำอย่างไรกับท่านย่า”
สายตาของนางจ้องมองไปทางหลินซ่างซู “ท่านพ่อ หลินเป้ยเหยาพูดไม่ผิด สิ่งสำคัญของราชสำนักคือความกตัญญูกตเวที อย่างนั้น ท่านต้องรู้ว่า ราชสำนักจะจัดการอย่างไรกับขุนนางที่อกตัญญูใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินซ่างซูกดดันอยู่สักพักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าแผ่นหลังจะมีเหงื่อเย็นเฉียบไหลออกมา
หลินเมิ่งหวันกล่าวว่า“ท่านพ่ออยากจะรักทะนุถนอมเมียน้อยคนไหน เป็นลูกไม่ควรยุ่ง และก็ไร้ซึ่งหนทางแทรกแซง แต่เมิ่งหวันจะเตือนท่านพ่อหนึ่งประโยคนะเจ้าคะ ท่านพ่ออยากจะเข้าข้างหลี่อี๋เหนียง จนทำให้สูญเสียหนทางการเป็นขุนนางของตนเองหรือเจ้าคะ?”
หลินเมิ่งหวันมองหลินซ่างซูอย่างราบเรียบ ไม่พูดมากอีก จากนั้นสาวเท้าก้าวใหญ่ๆเดินออกไป
หลินซ่างซูยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ในหัวสมองย้อนคิดสิ่งที่หลินเมิ่งหวันพูดเมื่อครู่นี้
หลินเป้ยเหยาที่ได้รับอิสระแล้วรีบกระโจนไปที่ข้างเตียง กล่าวว่า“ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ท่านแม่ ท่านตื่นสิเจ้าคะ!”
หลี่อี๋เหนียงนอนหลับตาปิดสนิทอยู่บนเตียง ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
หัวใจหลินเป้ยเหยาบีบรัดแน่น ตัวเย็นเฉียบ หันไปมองหลินซ่างซูกล่าวอ้อนวอนว่า“ท่านพ่อ ท่านรีบเชิญหมอมาดูท่านแม่เถอะเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าน้องเมิ่งหวันให้ท่านแม่กินอะไร หรือว่านางอยากเอาชีวิตท่านแม่เจ้าคะ ฮือๆๆ…..”
เสียงร้องไห้ของหลินเป้ยเหยาทำให้หลินซ่างซูกลับสู่โลกความจริง เขารีบสั่งให้คนรับใช้ไปเชิญหมอมา ส่วนตัวเองมาอยู่ข้างเตียงหลี่อี๋เหนียง
แต่เมื่อเห็นหลี่อี๋เหนียงนอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง หัวใจหลินซ่างซูกลับเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกขึ้นมา
หญิงที่อ่อนปวกเปียกตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผู้นี้ เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์จริงหรือ?
เรื่องหลี่อี๋เหนียงทำให้ฮูหยินใหญ่ได้รับพิษ เป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือ?
หลากหลายความคิดอยู่ในหัวของหลินซ่างซู มันทำให้เขาสับสนอย่างมาก
ท้องฟ้ามืดครึ้ม แสงไฟสวนดอกบัวสว่างไสวขึ้น หมอไปๆมาๆครึกครื้นมาก
หลินเมิ่งหวันกลับมาจากสวนสน เห็นแสงเทียนสวนดอกบัวสว่างไสวไกลๆ ภายในใจจึงหนาวเหน็บขึ้นมา
ก่อนหน้านี้หลินเมิ่งหวันออกมาจากสวนดอกบัว นางก็ไปกินข้าวเย็นกับฮูหยินใหญ่ที่สวนสน อีกทั้งพูดคุยกันกับนางอยู่สักพักหนึ่งถึงได้ออกมา
แต่ทั้งช่วงนั้น หลินซ่างซูไม่ได้มาเลย
ท่านย่ายังป่วยอยู่ ท่านพ่อไม่เคยไปปรนนิบัติเลย แต่อยู่ที่สวนดอกบัวตลอด
หลินเมิ่งหวันไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าหลินซ่างซูแต่งเมียแล้วลืมแม่ หรือว่าควรพูดว่าหลี่อี๋เหนียงกับหลินเป้ยเหยานั้นแผนการดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก