พระชายาคนงาม อย่าคิดหนี นิยาย บท 71

ในเวลานี้ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเพียงกลอุบายที่มุ่งเป้าไปยังฉู่เนี่ยนซีเท่านั้น และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เกิดความโกลาหลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“ไม่คิดเลยว่าล้วนเป็นการกระทำของมนุษย์ คนผู้นี้ช่างโหดเหี้ยม นึกไม่ถึงเลยว่าต้องการจะเผาคนทั้งเป็น โชคดีที่พระชายาหลีเฉลียวฉลาด และรู้แผนการชั่วร้ายเหล่านี้”

“ข้าน้อยคิดว่าเรื่องนี้มุ่งเป้าไปที่พระชายาหลี มิเช่นนั้นจะบอกวันเกิดของนางได้อย่างไร แถมยังยืนยันรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางด้วย ไม่รู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่มีความแค้นกับนาง ถึงได้คิดแผนการชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้”

......

ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ บางคนด่าทอผู้ที่ริเริ่มการกระทำเช่นนี้ บางคนชื่นชมความเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบของฉู่เนี่ยนซี กล่าวโดยสรุปได้ว่าทุกคนล้วนหดหู่กับเหตุการณ์นี้

ในเวลานี้ใบหน้าชราของไทเฮาแดงก่ำ ไม่คิดเลยว่าผลสุดท้ายจะมีคนจงใจทำ และนางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกหลอกใช้

ฉู่เนี่ยนซีเพียงแค่เหลือบมองนางอย่างเฉยเมย และไม่ได้สนใจ นางไม่ใช่แม่พระ และไม่สามารถให้อภัยคนที่เกือบจะเผาตัวเองจนตายตามใจชอบได้ แต่นางจะไม่โกรธแค้นนาง อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสังคมนี้เท่านั้น

อันที่จริงแล้วตอนที่นักพรตเต๋ากล่าวถึงดาววิบัติ นางพบว่าธูปผิดปกติ เหตุผลที่นางไม่พูด เพราะกลัวว่าจะชี้ให้เห็นในเวลานั้น แล้วพวกเขาจะใช้เหตุผลว่าธูปได้รับความชื้นมาเป็นข้ออ้าง แม้ว่านางจะสามารถลบล้างชื่อของดาววิบัติได้โดยตรง แต่นักพรตเต๋าและผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

ดังนั้นนางจึงรอจนกระทั่งเรื่องนี้ถึงจุดเดือด ไม่สามารถกลบเกลื่อนคำโกหกได้ และต้องการใช้โอกาสนี้จับฮองเฮาต่อหน้าทุกคนโดยตรง

แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ ผู้ที่สนับสนุนนักพรตเต๋าเป็นคนของฮองเฮา

นางคาดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะเตรียมการรับมือไว้ทั้งสองทาง ในกรณีที่ถูกเปิดโปงก็จะกำจัดหมากเช่นนักพรตเต๋า

ฉู่เนี่ยนซีครุ่นคิดและสงบสติอารมณ์ลง นางก้าวข้ามไทเฮาและคุกเข่าลงตรงหน้าฝ่าบาท คารวะและมองตาเขาด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ “ซีเอ๋อร์เกือบจะถูกฆ่าตาย ในตอนนี้รอดพ้นจากความตายมาได้ ไม่ทราบว่าจะทูลขอความเมตตาจากฝ่าพระบาทได้หรือไม่เพคะ”

“แน่นอน ขอแค่ข้าคิดว่ามันสมเหตุสมผล ข้าก็จะอนุญาต” ฝ่าบาทโบกมือบอกใบ้ให้นางลุกขึ้น

แต่ฉู่เนี่ยนซีทำราวกับว่าไม่เห็น และยังคงคุกเข่าตรงดิ่ง เมื่อไทเฮาเห็นว่านางทูลขอความเมตตาอย่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ความรู้สึกผิดในใจของนางเมื่อครู่ก็หายไปในทันที

ผู้คนก็เดาได้ว่าสิ่งที่นางต้องการคืออะไร ในขณะนี้เสียงอันเยือกเย็นของฉู่เนี่ยนซีก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เหตุการณ์ที่ทำร้ายซีเอ๋อร์ในวันนี้ มองผิวเผินเป็นการกระทำของใครบางคน อันที่จริงแล้วเป็นการทำร้ายข้า และเป็นขนบธรรมเนียมการเซ่นไหว้ชีวิตที่เสื่อมเสีย หากไม่ใช่เพราะข้าดวงดี และผู้คนที่อยู่เบื้องหลังประมาทเลินเล่อ ข้าคงถูกผลักเข้าไปในกองไฟอย่างไม่กระจ่าง หลังจากนั้นยังจะทิ้งชื่อเสียงของดาววิบัติไว้ และถูกลูกหลานมากมายดูหมิ่น”

“และซีเอ๋อร์เป็นเพียงเงาเล็กๆ ของขนบธรรมเนียมที่เสื่อมเสียนี้ ข้าคิดว่ายังมีคนอีกมากมายที่ไม่ได้โชคดีเหมือนซีเอ๋อร์ พวกเขาถูกเผาทั้งเป็น ตายอย่างน่าเวทนาและไร้ความผิด”

“เทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นดีงาม จะทำเรื่องชั่วร้ายได้อย่างไร ปล่อยให้มันเป็นความเชื่อที่สวยงามของพวกเราก็พอ แทนที่จะทำเรื่องที่อุกอาจ ไร้ศีลธรรมในนามของเทพเจ้า”

“ด้วยเหตุนี้ ซีเอ๋อร์จึงทูลขอความเมตตาจากฝ่าบาทให้ยกเลิกขนบธรรมเนียมที่เสื่อมเสีย ในการใช้ชีวิตคนมาเซ่นไหว้ทั่วทั้งแคว้น ผู้ใดฝ่าฝืนต้องได้รับโทษ! ”

สายตาของฉู่เนี่ยนซีมีความแน่วแน่ ในแววตาใสซื่อ ราวกับหลุดเข้าไปในทางช้างเผือกนับพัน เปล่งประกายระยิบระยับ ในขณะพูดนางก็โขกศีรษะอย่างแรง

เสียงที่ดังและทรงพลังของฉู่เนี่ยนซี ระเบิดขึ้นในหัวของผู้คนราวกับฟ้าคะนอง เหมือนกับเลือดที่เดือดพล่านพุ่งไปที่หัวใจ ทันใดนั้นผู้คนก็พากันโน้มตัวลงพร้อมกับฉู่เนี่ยนซี และโขกศีรษะอย่างแรง

“ข้าฝ่าบาททรงเมตตาให้ยกเลิกขนบธรรมเนียมที่เสื่อมเสีย ในการใช้ชีวิตคนมาเซ่นไหว้!”

.....

คำพูดเหล่านี้เสียงดังก้องนับครั้งไม่ถ้วนบนลานกว้าง พุ่งเข้าสู่หัวใจของฮ่องเต้ และยังสถิตอยู่ในใจของไทเฮาอีกด้วย

ฮ่องเต้เหลือบมองไทเฮา นางโบกมือและกล่าวพึมพำว่า “ข้าทำสิ่งที่ผิด ข้าแก่แล้ว เหนื่อยง่าย ขอกลับไปพักผ่อนก่อน”

พูดจบ ไทเฮาก็ค่อยๆ เดินไปที่ตำหนักอันชิ่ง โดยมีแม่นมคอยประคอง

หลังจากที่ฮ่องเต้น้อมส่งเสด็จไทเฮาเสร็จแล้ว เขาก็กวาดสายตาไปยังฝูงชนที่คุกเข่าอยู่ใต้แท่นบูชา และกล่าวเสียงดังว่า “ข้าอนุญาตให้ยกเลิกการใช้ชีวิตคนมาเซ่นไหว้ การประชุมในช่วงเช้าฉู่เจี้ยนอี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นขุนนางระดับสี่ ข้าจะมอบป้ายคำสั่งให้รับผิดชอบ และดูแลจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่”

ฉู่เจี้ยนอี้ตกตะลึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้ว่าสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำนั้น เป็นเพียงการให้รางวัลแก่น้องสาวของเขาทางอ้อม

สิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกในใจว่าเขาเป็นพี่ชายที่บกพร่องในหน้าที่ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยน้องสาวในยามคับขันได้ แต่ในตอนนี้ยังได้รับรางวัลเพราะนาง

สิ่งนี้ทำให้ความมุ่งมั่นที่ต้องการจะปกป้องน้องสาวของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทันใดนั้นแววตาของเขาก็ล้ำเลิศ และคำนับด้วยความนอบน้อม “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“ส่วนฉู่เนี่ยนซี กล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ข้าจะให้ป้ายทองคำเป็นรางวัล เห็นป้ายทองคำก็เหมือนเห็นข้า เพียงถือป้ายทองคำก็สามารถเข้ามาในวังได้ตลอดเวลา ไม่ต้องแสดงความเคารพตามกฎในวัง และไม่ต้องคุกเข่าคารวะ”

ฉู่เนี่ยนซีตื่นตกใจและรีบมองไปที่ฮ่องเต้ เพียงแค่เห็นว่าฮ่องเต้ยิ้ม ล้วงป้ายทองคำออกมา แล้วมอบให้นาง “ยังไม่รีบไปอีก! ”

ฉู่เนี่ยนซีตื่นรู้สึกตัวกลับมา และรับป้ายทองคำด้วยมือทั้งสองข้าง เมื่อคิดว่าต่อไปตนเองไม่ต้องคุกเข่า รอยยิ้มจริงใจที่หาได้ยากปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

“ลุกขึ้นเถอะ งานเลี้ยงในวังเตรียมพร้อมแล้ว เคลื่อนขบวน!”

“น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท”

ฝ่าบาทขึ้นไปบนรถม้ามังกร โดยมีผู้คนติดตามไปด้านหลัง

เนื่องจากก่อนหน้านี้ ไทเฮาไม่ได้เสด็จมาที่ท้องพระโรง

และตัวเอกของงานเลี้ยงในวังก็เปลี่ยนจากไทเฮาเป็นตระกูลฉู่

คนรอบข้างฉู่เนี่ยนซีต่างพากันมาดื่มอวยพร แม้ว่าเย่เฟยหลีจะขัดขวาง แต่ฉู่เนี่ยนซีที่ทั้งหิวทั้งกระหายก็ไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า อาการเมาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

ฉู่เนี่ยนซีไม่สามารถดื่มได้อีก และสง่าราศีของเย่เฟยหลีก็แข็งแกร่งเมาก ผู้คนเพียงแค่ทักทายกันไม่กี่คำ และไม่กล้าที่จะดื่มต่ออีก ดังนั้นผู้ที่ต้องการชวนคุยจึงไม่กล้าที่จะเดินเข้ามา และพากันเดิรไปข้างๆ ฉู่เจี้ยนอี้

เมื่อครึ่งเดือนก่อน ฉู่เจี้ยนอี้ยังเป็นขุนนางระดับห้า แต่ในตอนนี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับสี่ แม้ว่าในราชสำนักจะมีขุนนางระดับสูงมากมาย แต่ตอนนี้ฉู่เจี้ยนอี้เพิ่งอายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น แถมยังมีจวนเฉิงเซี่ยงคอยหนุนหลัง ในภายภาคหน้าจะต้องสร้างผลงานอันยอดเยี่ยม

ดังนั้นจึงเริ่มมีความคิดที่จะผูกมิตร

และขุนนางอาวุโสหลายคนก็ชื่นชมจวนเฉิงเซี่ยงซ้ำแล้วซ้ำเล่า อบรมสั่งสอนบุตรหลานให้ถูกทาง และบุตรชายบุตรสาวต่างก็พากันได้รับรางวัล

มีเพียงจวนเฉิงเซี่ยงเท่านั้นที่ยิ้ม แต่ในใจมีร่องรอยของความเศร้าโศก

อำนาจที่มากขึ้นก็หมายความว่าต่อไปต้องยอมรับความยากลำบากที่มากขึ้นด้วย

สายตาของเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉู่เนี่ยนซีที่กำลังชิมอาหารอร่อย และอดไม่ได้ที่จะกังวล

นางยิ่งอยู่ยิ่งโดดเด่น ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี!

......

เมื่อเป็นเช่นนี้ งานเลี้ยงในวังจึงถูกประกาศให้จบลงท่ามกลางความยินดีของผู้คน

ฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีนั่งรถม้ากลับไปที่จวน

แม้จะพยายามหักห้ามใจแล้วก็ตาม แต่ทั้งสองคนก็ยังดื่มสุราไปไม่น้อย

ฉู่เนี่ยนซีมึนจนหลับไปภายใต้การสั่นคลอนของรถม้า

เมื่อเย่เฟยหลีหันกลับมา เขาก็เห็นนางหลับตาอยู่ ศีรษะของนางสั่นคลอนจากการกระแทก และเกือบชนกับผนังรถหลายครั้ง

ทันใดนั้นรถม้าก็สั่นคลอนมากยิ่งขึ้น เย่เฟยหลีรีบยื่นมือออกไปปกป้องศีรษะของนาง

ในเวลานี้นางก็ฉวยโอกาสพิงไหล่ของเขา

การสัมผัสอย่างใกล้ชิด ทำให้เย่เฟยหลีอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา

ร่างกายที่นุ่มนวลและอ่อนโยนของหญิงสาวแอบอิงอยู่ข้างกายเขา กลิ่นหอมสมุนไพรโชยมาที่ปลายจมูกของเขา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเคลิบเคลิ้ม

ร่องรอยของความตื่นตระหนกฉายผ่านดวงตาอันเยือกเย็นของเขา

“อืม……”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคนงาม อย่าคิดหนี