"เรื่องนั้นเดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้คุณเปลี่ยนชุดก่อน" ทศกัณฐ์หมายถึงเรื่องที่เธอถาม ว่าทำไมเขาถึงมาหาเธอก่อนที่จะเข้ารับการรักษาตัว
"เออ.." หญิงสาวมองไปดูชุดที่วางอยู่บนเตียงเล็กน้อย
"มีอะไร"
"ฉันอายค่ะ"
"อายทำไม"
"ก็อายที่ฉันงี่เง่า" เพิ่งเริ่มรู้สึกอายผู้ใหญ่ ไม่ได้อายแค่ผู้ใหญ่หรอกอายเพื่อนด้วย เป็นบ้าอะไรไม่รู้ทำตัวงี่เง่าไปได้
"เราจะออกไปพร้อมกัน" เขาไม่ปล่อยให้เธออายอยู่แล้ว เพราะเขาจะจูงมือเธอออกไปเอง "รีบเปลี่ยนชุดดีกว่าครับ"
เอวายิ้มหวานออกมาให้เขาได้เห็น แล้วเอื้อมมือไปหยิบชุดนั้นขึ้นมา
"คุณจะมองแบบนี้ไม่ได้นะคะ" ขณะที่เธอกำลังถอดเสื้อผ้าเขายังคงยืนมองอยู่
"มากกว่านี้ผมก็เห็นมาแล้ว"
"ก็รู้ว่าเห็น แต่มองแบบนี้ใครจะไม่อายล่ะคะ"
"ผมช่วยถอดดีกว่า" ไม่ทำแค่มองแล้วช่วยถอดเลยแล้วกัน เพราะไม่อยากให้ผู้ใหญ่รอนาน พอถอดเสื้อผ้าเสร็จเขาก็ช่วยเธอติดตะขอและกระดุมของชุดใหม่ให้เรียบร้อย
"แต่หน้าฉัน" หญิงสาวมองดูกระจก หน้าเธอดูไม่ได้เลยมีทั้งคราบน้ำตา
"สวยแล้ว"
"มองยังไงสวย"
"ยังไงก็สวยในสายตาของผม"
ได้ยินแบบนี้หัวใจเต้นแรงขึ้นมา ถึงแม้คนอื่นจะมองยังไงก็ช่างปะไร เพราะเธออยากจะสวยแค่ในสายตาเขาก็พอแล้ว
ประตูห้องนอนเปิดออก..สายตาทุกคู่ต่างก็มองไปพร้อมกัน
"..." พอประตูเปิดออกมาคนที่สงสัยก็คือทศกัณฐ์ เพราะที่เก้าอี้ไม่ได้มีแค่ท่านนายพล และแม่ของพี่ชาย แต่ตอนนี้ยังมีพ่อซึ่งนั่งอยู่ใกล้นาง
อย่างที่รู้กันอยู่พลเอกเรวทัตคงไม่ยอมเสียหน้าง่ายๆ และเรื่องนี้พุดตาลก็รู้ดีกว่าใคร ถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ลงไป
พอพลเอกเรวทัตได้ยินว่าภรรยาเชิญพลเอกเกษมราษฎร์มาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายชาย พลเอกเรวทัตก็เลยต้องรีบขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตามมา เพราะถ้านั่งรถยังไงก็คงตามไม่ทัน แต่ถ้าขึ้นเครื่องต้องได้จัดการอะไรอีกหลายอย่างยิ่งช้ากว่านั่งรถ
ทศกัณฐ์พาเอวาไปนั่งลงตรงพื้นที่ปูด้วยพรม เพราะทั้งสองต้องได้ไหว้ผู้ใหญ่ก่อน
"งานวันนี้อาจจะฉุกละหุกนิดหนึ่ง แต่แม่ก็ไม่ให้เราน้อยหน้าใคร นี่คือสินสอดทองหมั้น" คนที่ยกเครื่องเพชร เงิน ทอง ส่งมาให้กับทศกัณฐ์เพื่อได้ยกให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงก็คือรามสูรพี่ชาย
"มันเยอะไปไหมคะท่าน" คุณยายไม่กล้ารับของหมั้นหมาย เพราะแค่มองดูก็รู้แล้วว่ามูลค่ามหาศาล
"รับไปเถอะครับ ถือว่าเป็นสิ่งของแทนใจของผม"
ทศกัณฐ์ล้วงเอาแหวนออกมาจากกระเป๋า แล้วจับมือของเธอมาเพื่อจะสวมใส่
พอพิธีหมั้นหมายผ่านไปทั้งสองก็ไหว้ผู้ใหญ่อีกครั้ง
"เดี๋ยวแม่จะจัดงานเลี้ยงให้เราอีกครั้งที่กรุงเทพฯนะ" พลเอกเรวทัตอดที่จะมองภรรยาหลวงไม่ได้ ไม่คิดว่านางจะยอมรับทศกัณฐ์ได้แบบนี้
"ขอให้เราทั้งสองรักกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร วันงานเลี้ยงเจอกันอีกทีนะ" หมดหน้าที่ท่านพลเอกเกษมราษฎร์ก็ต้องขอลา
"ขอบคุณท่านมากที่สละเวลามา" พลเอกเรวทัตกล่าวขอบคุณเพื่อนบ้าง
"อย่าเรียกว่าสละเวลาเลยครับ ผมดีใจที่ได้มาร่วมงานลูกคนที่สองของคุณ"
ประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากเพื่อน เรวทัตถึงกับหันมองมาดูใบหน้าภรรยาหลวง และอดไม่ได้ที่จะมองไปดูหน้าลูกชายคนโตอีกคน
แต่พุดตาลไม่ได้มองดูหน้าสามีเลย ถึงแม้ในใจก็แอบสงสัยอยู่ว่าพลเอกเกษมราษฎร์หมายถึงอะไร นางไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับสามีตั้งแต่เรื่องภรรยาอีกคนท้องทศกัณฐ์ แต่ฟังแค่นี้ก็พอจะเดาได้ว่าสามีคงไปไข่ไว้ที่ไหนอีกแน่
นางขอแค่อย่างเดียวเชื้อพ่ออย่ามาปล่อยใส่ลูกๆ ถ้าไม่งั้นคงอดสงสารเด็กสาวสองคนนี้ไม่ได้ ขณะที่คิดสายตาของนางก็ได้มองไปดูลูกสะใภ้ทั้งสอง
ขบวนของพลเอกเกษมราษฎร์ออกจากหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต่างก็ปลื้มใจที่คนใหญ่คนโต ซึ่งทุกคนก็เคยเห็นผ่านตาในทีวีบ่อยๆ มาเผยโฉมในหมู่บ้านให้เห็นแบบนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยาที่(ไม่)รัก