ยี่หวาเดินตามหาวายุอยู่นานจนในที่สุดก็เจอเขายืนต่อยกำแพงอยู่ตรงบันไดหนีไฟ อีกใจเธอก็คิดว่าทำไมเขาถึงได้ทำตัวเป็นพระเอกนิยายจัง แต่อีกใจก็รู้สึกสงสาร เพราะเธอเข้าใจว่าเขากำลังโกรธตัวเองที่ไม่ยอมตามหาเธอในวันนั้น
เธอนั่งลงตรงบันไดมองวายุที่กำลังระบายอารมณ์กับกำแพงอยู่ เหตุผลที่เธอไม่เข้าไปห้ามก็เพราะว่าอยากให้เขาได้ระบายออกมาแทนที่จะเก็บมันไว้ในใจ แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์เขาจะมากไปหน่อยจนกำแพงร้าวแล้ว…
“พอเถอะค่ะ” ยี่หวาลุกขึ้นเดินไปจับแขนเขาให้หยุด สีหน้าวายุตกใจเล็กน้อยที่เห็นยี่หวา เธอยกมือขึ้นไปจับที่หน้าเขาเพื่อให้หันมามองทางเธอ “ฉันรู้ว่าคุณกำลังโกรธตัวเอง แต่คนเราไม่เคยมีใครที่ในชีวิตนี้จะเพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง บางทีพระเจ้าคงเห็นว่าคุณเพอร์เฟกต์เกินไปก็เลยทำให้ตัดสินใจผิดไปบ้างในเรื่องของความรัก เรื่องที่ผ่านมาแล้วเราอาจจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ อย่าให้ความผิดพลาดในอดีตมาทำลายคุณในตอนนี้เลยนะ”
ขอโทษพระเจ้าด้วยค่ะที่โยนความผิดไปให้ท่าน…
“ฉันเกลียดตัวเอง” น้ำเสียงวายุดูอ่อนแอมาก ทำเอาใจยี่หวาอ่อนยวบยาบไปหมด แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะอ่อนแอตามเขา
“คุณรักฉันไหมคะ?”
“รัก” วายุเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ห้ามเกลียดคนที่ฉันรัก เข้าใจไหมคะ?” น้ำเสียงอ่อนหวานที่มีความบังคับเจือปนอยู่ ทำเอาวายุพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“เข้าใจ”
“ดีมากค่ะ สัญญากับฉันก่อนว่าจะไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก ดูสิ…เลือดออกหมดเลย”
“สัญญา”
“ถ้าอย่างนั้นไปทำแผลก่อนแล้วค่อยกลับห้อง ไม่อย่างนั้นเรนคงตกใจมากแน่ๆ ที่เห็นมือคุณเป็นแบบนี้”
“อืม” วายุตอนนี้ดูไม่มีอำนาจ แถมยังดูเชื่อฟังเธอดีมาก ทำเอายี่หวารู้สึกดีไม่น้อยเลย นานๆ ทีเธอจะได้เป็นฝ่ายคุมเขาบ้าง
หลังจากที่ยี่หวาพาวายุไปทำแผลเสร็จเขาก็สั่งให้ลูกน้องไปจัดการกับกำแพงที่ร้าว ส่วนทั้งสองคนก็เดินกลับมาที่ห้อง พอวายุหันไปเห็นสายน้ำเกลือที่ห้อยอยู่สติที่หลุดลอยไปก็กลับมาสมบูรณ์ รีบหันไปส่งสายตาคาดโทษให้ยี่หวา
สุดท้ายยี่หวาก็ต้องก้มหน้าสำนึกผิดที่ดึงสายน้ำเกลือออก เธอได้คุมเขาไม่ถึงชั่วโมงก็โดนเขาเป็นฝ่ายคุมอีกแล้ว
จากนั้นวายุก็โทรตามรชานนท์ที่กำลังออกเวรให้มาตรวจร่างกายยี่หวาใหม่ พีรพัฒน์ที่รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินก็ขอตัวกลับก่อน ส่วนยี่หวาก็นอนตะแคงหลับตาบนเตียงอย่างว่าง่ายโดยมีเรนจิอยู่ในอ้อมกอดและมีวายุนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
ยี่หวารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป เพราะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ชวนขนลุก ซึ่งพอเธอลืมตาขึ้นมาก็เห็นวายุกำลังนั่งจ้องหน้าฮาเดสที่นั่งตรงบริเวณโซฟาอยู่...ไม่รอช้ารีบลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงทันที
“อ่าวที่รัก...ตื่นแล้วเหรอ?” ฮาเดสส่งเสียงหยอกล้อเพื่อทำให้วายุโมโห
“ที่รักบ้านนายสิ” ยี่หวากดเสียงต่ำ เพราะไม่อยากตะโกนเดี๋ยวเรนจิที่กำลังหลับอยู่ตื่นขึ้นมา
“หึ! ตั้งแต่มีสามีเป็นตัวเป็นตนก็ปฏิเสธฉันเลยนะ ใจร้ายจัง ไม่สนใจรับฉันไปเป็นชู้บ้างเหรอ” ฮาเดสพูดออกมาท่าทางเศร้าสร้อยเพื่อให้คนที่เห็นสงสาร แน่นอนว่าคนที่สงสารย่อมไม่ใช่คนปกติแน่
ซึ่งก็ไม่ใช่เธอ!
หมอนี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ มีใครที่ไหนพูดเรื่องแบบนี้ได้ออกมาหน้าตาเฉยกัน คนที่เชื่อจะต้องประสาทกลับเป็นแน่ หวังว่าสามีของเธอคงจะไม่เชื่อคำพูดไร้สาระของเจ้าหมอนั่นหรอกใช่ไหม...
ยี่หวาหันไปมองหน้าวายุ แต่พอเห็นสีหน้าอึมครึมของเขาก็รู้ได้ทันที...นี่เขาเชื่อสนิทเลย!
พระเจ้ากลั่นแกล้งให้วายุอ่อนในเรื่องความรักจริงด้วย เพราะแม้แต่คำพูดโง่ๆ ของหมอนั่นก็ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อ แถมยังส่งสายตาอาฆาตไปให้ฮาเดสอีก
“ฉันไม่สนใจคนอื่นนอกจากสามีฉัน เพราะฉันรักเขากับลูกมาก” ยี่หวาพูดออกมาอย่างหนักแน่น เพื่อให้วายุสบายใจ ทำเอาเขารีบหันมามองหน้าเธอด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
“เลี่ยนชะมัด! ว่าแต่เธอหายดีแล้วหรือไง ได้ข่าวว่าต้องรับเลือด ร่างกายฟื้นตัวเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า” ฮาเดสเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากโดนเธอทำร้ายจิตใจไปมากกว่านี้
“ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น อีกอย่างก็เพราะแผลใหญ่เกินไป บวกกับช่วงนี้มีเหตุให้ต้องเสียเลือดเยอะก็แค่นั้น พอได้รับเลือดร่างกายก็ดีขึ้นแล้ว”
“เธอคิดว่าเลือดเป็นน้ำเกลือหรือไง...ฉันลืมไปว่าเธอต่อให้โดนยิงหลายนัดก็ยังสามารถเดินไปไหนมาไหนได้อยู่ดี เพราะเธอมันไม่ใช่คนปกติ”
“พูดถึงฉันไม่ดูตัวเอง นายปกติมากมั้ง” มีครั้งหนึ่งที่หมอนี่ป่วยจนต้องให้น้ำเกลือ แต่มันดันตรงกับวันที่เธอเรียนจบพอดี เขาก็สั่งให้ลูกน้องพาเขามาหาเธอทั้งที่ยังใส่สายน้ำเกลือไว้อยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม