บทที่ 10 เสื้อผ้าใหม่
ฤดูกาลของเดือนสาม ถึงแม้ผืนดินจะกลับสู่ความอบอุ่น แต่ยังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง
ถ้าหากเพิ่งเดินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามก็คงไม่รู้สึกอะไรกับความหนาวเย็นเช่นนี้ แต่ถ้าหากออกมาด้านนอกเป็นเวลานานแล้ว ร่างกายก็ยังคงสัมผัสกับลมหนาวเสียดกระดูกอยู่
โดยเฉพาะยามค่ำคืน ความหนาวเย็นจะหนักหนาขึ้นไปอีก
ร่างของสวี่ชิงยังคงไม่หยุดนิ่งเพราะสายลมหนาวที่พัดมา เพียงแค่กระชับเสื้อขนสัตว์ให้แนบตัวขึ้นมาอีกหน่อยเท่านั้น
เขายังมีเรื่องที่ทำไม่เสร็จ ดังนั้นจึงยังเดินไปเดินมาอยู่ในฐานที่มั่นยามค่ำคืนอย่างระมัดระวัง
ระหว่างทางเห็นสุนัขป่าบางตัวแยกเขี้ยวมา หลังจากที่ประสานสายตากับเขา ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดบนตัว จึงทยอยๆ กันหุบปากแล้วหดหางหนีไป
สายตาของสวี่ชิงย้ายออกจากตัวสุนัขป่า เดินหน้าต่อ
จนมาถึงบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่วงกลาง เขาคุกเข่าลงในความมืดไม่ขยับเขยื้อน จ้องเขม็งไปยังบ้านใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลังหนึ่ง
ที่นั่นมีกองไฟที่มอดดับไปแล้ว
สวี่ชิงจำได้ว่าเจ้าอ้วนที่แยกตัวกับเจ้าม้าตรงมายังที่นี่ ดังนั้นเขาจึงคิดจะรอดู ว่าอีกฝ่ายจะออกไปไหนตอนกลางคืนหรือไม่
ความหนาวเย็นรุกรานเข้ามาทั่วทั้งกาย แต่ร่างเงาของสวี่ชิงก็ราวกับกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว นิ่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับเขยื้อน เฝ้ารออย่างอดทน
ด้านหลังของเขา บนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง นายท่านเจ็ดกับคนติดตามเองก็ตามมาเช่นกัน มองสวี่ชิงที่นั่งคุกเข่าอยู่ทางนั้น นายท่านเจ็ดจึงยกยิ้ม
“เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ เจ้าหมาป่าน้อยคนนี้คิดจะเดินจังหวะสังหารเรียบจนหมด
“ข้าตอนนี้คาดหวังมากว่าถ้าเด็กคนนี้เข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามข้างๆ จะแสดงฝีมือเช่นไรออกมา” นายท่านเจ็ดก็คุกเข่าลง จับตามองอย่างสนใจไปด้วย เอ่ยคุยกับคนติดตามข้างกายไปด้วย
คนติดตามเองก็อมยิ้ม คุกเข่าอยู่ข้างๆ นายท่านเจ็ด พิจารณาตัวสวี่ชิงอยู่ห่างๆ
เวลาไหลผ่านไป จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หลังจากคิดแล้วคิดอีก เขาก็หมุนตัวออกห่างจากความมืด ร่างกายราวกับเป็นผีวิญญาณ มาถึงและจากไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
ไม่ได้ตรงกลับไปยังที่พักของหัวหน้าเหลยทันที แต่วนรอบอยู่ใกล้ๆ ก่อนเสียรอบหนึ่ง
หลังจากยืนยันว่าไม่มีคนสะกดรอยแล้ว สวี่ชิงจึงโยกตัวมุดเข้าไปในเรือนของหัวหน้าเหลย กลับไปห้องเล็กของตนเองอย่างไร้ซุ่มเสียง
หลังจากเข้ามา เขาก็สูดลมหายใจลึก ถูๆ ฝ่ามือ ราวกับจะหยิบยืมการกระทำนี้ขับไล่ความหนาวเย็นในร่างกายตนเองออกไป
จากนั้นเขาก็เช็ดคราบเลือดบนตัวออก จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง ดวงตาเผยความครุ่นคิด
‘คนเก็บกวาดเหล่านี้มักจะรับงานแล้วออกไปข้างนอกไม่เป็นเวลา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าม้ายังเป็นพวกมักในกามอีก ดังนั้นถ้ายังผ่านไปไม่นานก็น่าจะไม่มีใครสังเกตถึงการตายของเขา เจ้าอ้วนเองก็ไม่น่าจะระมัดระวังขึ้นมาเพราะเรื่องนี้
‘แต่เพื่อความแน่ใจ ก็ยังต้องกำจัดเจ้าอ้วนทิ้งจึงจะถูก’ สวี่ชิงหรี่ตาลง
เหมือนกับกระทิงโฉดตอนนั้น เขาที่เติบโตในถ้ำยาจก จะไม่ยอมให้รอบตัวมีอันตรายแฝงเร้นมาคอยคุกคามตนเองเด็ดขาด
ที่สังหารเจ้าม้าเป็นเพราะอีกฝ่ายแย่งชิงของของตนไปแล้วยังทำการคุกคาม ที่เตรียมจะรับมือกับเจ้าอ้วนก็มาจากสาเหตุนี้เช่นกัน
หลังจากครุ่นคิดสวี่ชิงก็ล้วงเอาสิ่งของของเจ้าม้าออกมาตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ส่วนใหญ่จะเป็นของสัพเพเหระ และยังมีก้อนเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ราวกับเป็นเพียงแค่วัตถุดิบประเภทหนึ่ง
นอกเหนือจากนี้ ยังมีเหรียญวิญญาณอีกเจ็ดสิบกว่าเหรียญ สิ่งนี้สำหรับสวี่ชิงถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว
เขานับอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบลูกกลอนขาวออกมา หลังจากหยิบลูกกลอนขาวของตนเองมาเทียบกับของเจ้าม้าแล้ว ก็พบว่าคุณภาพของลูกกลอนขาวเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของสดใหม่ทั้งสิ้น
ดังนั้นเขาจึงเชื่อในสิ่งที่เจ้าของร้านพูดไปแล้วถึงเจ็ดส่วน
ขบคิดไปครั้งหนึ่ง สวี่ชิงก็กลืนลงคอไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อสัมผัสถึงมัน
เพียงไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นวูบหนึ่งลุกโชนขึ้นในร่างกาย สุดท้ายก็ไปรวมอยู่บนจุดกลายพันธุ์บนแขนซ้าย แผ่ความรู้สึกสบายออกมา
ไม่นาน ขณะที่ความรู้สึกนี้หายไป สวี่ชิงก็เบิกตาโพลงมองไปที่แขนซ้ายทันที จุดกลายพันธุ์สองจุดตรงนั้นจางลงไปเล็กน้อย ความรู้สึกเจ็บปวดก็หายไปพอสมควร
“ใช้งานได้” สวี่ชิงดวงตาเผยความยินดี หยิบเม็ดที่สองกลืนตามลงไป
ความรู้สึกเดียวกันปรากฏขึ้นต่อเนื่อง จนมันหายไปอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บปวดของเขาก็หายตามไปด้วย
ความรู้สึกสะอาดสดชื่นผุดขึ้นมาทั่วทั้งร่างกาย ราวกับว่าเลือดเนื้อถูกชำระล้างใหม่ จนทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าความเร็วและพละกำลังของตนเองเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
เขาไม่ได้กินลูกกลอนขาวที่เหลือต่อ แต่เก็บกลับเข้าไปในถุงหนัง หลับตาลงเริ่มฝึกบำเพ็ญ
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบงัน
รุ่งเช้าวันต่อมา สวี่ชิงลืมตาลุกขึ้นเดินไปด้านนอก
ตอนที่เพิ่งผลักประตูออกไป เขาก็เห็นหัวหน้าเหลยนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือน เหมือนกำลังกำหนดลมหายใจ
สวี่ชิงไม่เข้าไปรบกวน เปิดประตูเรือนเบาๆ จากนั้นจึงปิดลงอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยสาวเท้าเดินออกไป
สายลมวันนี้หนาวเย็นยิ่งกว่าเมื่อวาน พัดมาโดนตัวไม่เพียงแต่ทำให้คนสั่นสะท้านเท่านั้น กระทั่งสุนัขป่าเหล่านั้นก็ยังต้องขดตัวอยู่แต่ในถ้ำไม่ออกไปไหน
ตอนที่สวี่ชิงหายใจจนมองเห็นถึงไอเย็น ทำให้ในหัวสมองเขาเกิดภาพความทรงจำไม่ค่อยดีบางส่วนสมัยอยู่ที่ถ้ำยาจก
เขาเกลียดความหนาวเย็น
เพราะความหนาวเย็นสำหรับคนพเนจรที่ไร้ที่พักไร้อาหารแล้ว มันคือภัยพิบัติฉากหนึ่ง จำเป็นต้องดิ้นรนอย่างหนักจึงจะมีชีวิตรอด
ดังนั้นสวี่ชิงที่เดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่งท่ามกลางความหนาวเย็น เท้าจึงหยุดลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ มองตรงไปยังเสื้อผ้าหนาและสะอาดที่แขวนอยู่ในร้าน
เขาลูบถุงหนังที่ปูดโปน หมุนตัวเดินเข้าไป
คนในร้านมีไม่มาก สวี่ชิงที่เข้ามามองไปยังเสื้อผ้าที่แขวนอยู่เหล่านั้นอย่างตั้งใจ
เจ้าของร้านกวาดตามองที่ตู้ข้างๆ สวี่ชิง ผาดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยกำชับกับพนักงานที่อยู่ข้างๆ
“เจ้าไปจัดการด้านหลังเสียหน่อย หยิบเอาเสื้อผ้าสั่งตัดที่ไม่มีคนมารับแล้วหนึ่งเดือนออกมาขายทิ้งให้หมด”
“แล้วถ้าคนที่สั่งตัดกลับมาเอาจะทำอย่างไรกัน” พนักงานเหมือนเข้ามาไม่นาน จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“กลับมาหรือ ฐานที่มั่นมีคนหายไปอยู่ตลอดเวลา บ้างก็ตายอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม บ้างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่จะกลับมาก็มีแต่ผีเท่านั้น รีบไปเอามาเร็ว”
เจ้าของร้านโบกมืออย่างหมดความอดทน พนักงานก็รีบวิ่งออกไปด้านหลัง
เพียงไม่นาน ตอนที่สวี่ชิงยังเลือกเสื้อผ้าไม่เสร็จ พนักงานก็หอบเอาเสื้อผ้ากองใหญ่ออกมา แขวนไว้ทีละตัวด้านหลัง สวี่ชิงก็ต้องตาเข้ากับเสื้อขนสัตว์กลับสีเข้มตัวหนึ่ง
นั่นเป็นเสื้อที่คนอื่นจองไว้ แต่กลับมารับไม่ได้อีกแล้ว
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ตอนที่สวี่ชิงเดินออกมาจากในร้าน ที่เขาสวมอยู่บนตัวก็คือเสื้อขนสัตว์กลับสีเข้มตัวนั้น
เสื้อตัวนี้กันความหนาวได้ ไม่หนาและหนักนัก แต่ระดับความอบอุ่นตอนที่สวมก็ยังดีกว่าเสื้อผ้าของสวี่ชิงก่อนหน้าอยู่มากโข
ที่สำคัญก็คือตัวเขาผอมเล็ก ดังนั้นตอนที่สวมขึ้นไปจึงเหมือนกับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ไม่เข้ากันสุดๆ
แต่สวี่ชิงก็ยังเบิกบานนัก ตอนเดินไปบนถนนเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่สกปรก
ตอนที่จะไปหาตัวเจ้าอ้วน เขาสังเกตเห็นว่าด้านนอกฐานที่มั่นเวลานี้มีเสียงวุ่นวายลอดเข้ามา และกลุ่มคนเก็บกวาดในฐานที่มั่นหลายคนก็เดินออกมาด้วย ตั้งหน้าตั้งตาเข้าใกล้ไปยังทิศทางของเสียง
สวี่ชิงเองก็เงยหน้ามองไปเช่นกัน
และเขาก็ค่อยๆ เห็นคาราวานรถม้าสิบกว่าคัน ขับแล่นตรงมาทางนี้อย่างยิ่งใหญ่ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง
คนที่นั่งบนนั้น ต่อให้เป็นแค่องครักษ์ก็ยังสวมเสื้อผ้าดูดี ใบหน้าแดงระเรื่อ สายตาคมกริบ ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวก็ล้วนมีคลื่นพลังวิญญาณที่น่าตกตะลึงกันหมด
ส่วนด้านในรถ สวี่ชิงมองไม่เห็น แต่เขาก็เดาได้ว่าจะต้องเป็นตัวตนที่น่าเคารพมากแน่ๆ



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา