เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 11

บทที่ 11 รวมกลุ่ม

ในคืนมืดมิด ร่างสวี่ชิงราวกับเป็นแมว เดินตรงไปด้านหน้าทั้งปราดเปรียวและเงียบเชียบ

มือของเขายกขึ้นมาปิดปากเป็นระยะ ฝืนสะกดอาการไอ

หลายครั้งก่อนหน้านี้ยังไม่เท่าไร แต่ยิ่งสวี่ชิงเคลื่อนไหว ยิ่งเขาสะกดเอาไว้หลายครั้ง ในปอดก็ค่อยๆ รู้สึกเหมือนไฟเผา และทำให้สีหน้าเขายิ่งซีดขาว

ยังดีที่ที่นี่ห่างจากที่พักเขาไม่ไกล และฐานที่มั่นเองก็ไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นเพียงไม่นานสวี่ชิงก็มองเห็นเรือนของหัวหน้าเหลย

เขาไม่ได้เข้าไปทันที แต่ยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจลึก พยายามทำให้ตัวเองเป็นปกติที่สุด จากนั้นจึงผ่อนความเร็วเดินเข้าไปอย่างไม่เร่งไม่ร้อน

ผลักเปิดประตูเรือนไม้ไผ่ สายตาสวี่ชิงกวาดตามองไปรอบๆ เดินช้าๆ เข้าไปในห้องเล็ก

ชั่วขณะที่เข้าไปในห้อง สวี่ชิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไอสำลักเลือดสีดำสนิทออกมาเสียงหนึ่ง ตอนที่หกถึงพื้นมีเสียงฉ่าๆ ออกมา

เมื่อได้พ่นเลือดพิษ สีหน้าของสวี่ชิงก็เปลี่ยนเป็นปกติจากที่ซีดขาวก่อนหน้า นั่งหอบหายใจอยู่ตรงนั้น และขัดสมาธิเริ่มควบคุมลมหายใจ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงลืมตาโพลง สีหน้าฟื้นฟูกลับมาหมดแล้ว

“เป็นพิษที่แรงเสียจริง!” สวี่ชิงงึมงำ

หมอกพิษสุดท้ายของเจ้าอ้วน มีความเป็นพิษอยู่สูงจริงๆ

แต่สถานการณ์ตอนนั้นถ้าหากสวี่ชิงหลบ อีกฝ่ายจะต้องหนีไปแล้วตะโกนเรียกเป็นอันดับแรก ดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นแน่ แล้วถ้าถึงตอนนั้น เรื่องคงจะยุ่งยากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ทางตนเองแสดงอาการบาดเจ็บก็เกรงว่าจะหลอกเจ้าอ้วนที่ปลิ้นปล้อนคนนั้นไม่ได้

หลังจากที่อีกฝ่ายรู้สึกว่าถูกสะกดรอย การกระทำทั้งหมดก็มีแบบแผนขึ้น มีเพียงสิ่งเดียวที่คำนวณพลาดก็คือประเมินพลังของสวี่ชิงต่ำเกินไป

ดังนั้น ในช่วงเวลาสำคัญ สวี่ชิงจึงเลือกเชื่อมั่นพลังการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงที่พกมา ฝืนทะลวงหมอกพิษ รีบสู้รีบจบ สังหารอีกฝ่ายไปในคราวเดียว

เวลานี้เมื่อดูแล้ว ตัวเลือกของเขาไม่ผิด

การฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงแข็งแกร่งกับการรุกล้ำของพิษจริงๆ

ปอดเขาสั่นอยากจะไอตลอดการเดินทาง อันที่จริงเป็นผลลัพธ์จากพลังการฟื้นฟู

“ในหมู่คนเก็บกวาด ไม่มีใครธรรมดาเลยจริงๆ ดูท่าเจ้าม้าคนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะข้าลงมือเฉียบขาด ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้ตอบโต้ เกรงว่าคงจะพัวพันกันอยู่นานเป็นแน่”

สวี่ชิงงึมงำในใจ เริ่มสรุปจุดที่บกพร่องของตนเองครั้งนี้

ผ่านไปสักพัก สวี่ชิงสูดหายใจลึก ก้มหน้าลงมองถุงหนังของตนเอง ในดวงตาเผยความประหลาดใจออกมา

‘เจ้าอ้วนที่เดินทางมาคนเดียว เป็นเพราะต้องการของอย่างหนึ่งของเจ้าม้า ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวออกล่าข้า คิดจะชิงเอาสิ่งของของเจ้าม้าในตัวข้าไป’

สวี่ชิงเปิดถุงหนัง หยิบสิ่งของที่เป็นของเจ้าม้าทั้งหมดออกมา รวมไปถึงเหรียญวิญญาณเหล่านั้นออกมาวางเรียงกันด้านหน้า

สายตาสวี่ชิงกวาดมองสิ่งของเหล่านี้ สังเกตทีละชิ้นอย่างละเอียด

จนถึงชิ้นสุดท้าย เขาข้ามของชิ้นอื่นไปทั้งหมด แล้วมองไปยังก้อนเหล็กชิ้นนั้น คิ้วขมวดขึ้น ดูไม่ค่อยแน่ใจ

อันที่จริงสิ่งของของเจ้าม้าล้วนเป็นของธรรมดาทั้งสิ้น ก้อนเหล็กชิ้นนี้เมื่อเทียบกับของชิ้นอื่นแล้ว ดูไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไปหน่อยเท่านั้น

‘เจ้านี่หรือ แต่ดูแล้วก็ไม่มีส่วนใดที่ประหลาดเลย หรือว่าจะเป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่ากัน’

สวี่ชิงคิดแล้ว จัดการเก็บมันลงไปอย่างระมัดระวัง เตรียมตัวว่าหลังจากนี้จะหาโอกาสค้นหาที่มาที่ไปของมันเสียหน่อย

จากนั้น เขาก็หยิบถุงหนังของเจ้าอ้วนออกมาตรวจสอบเสียรอบหนึ่ง

ด้านในไม่มีลูกกลอนขาว แต่มีเหรียญวิญญาณอยู่ไม่น้อย และยังมีขวดที่ดูเหมือนพิษอยู่อีกมาก สวี่ชิงไม่รู้เรื่องวิชาพิษ จึงไม่กล้าที่จะเปิดออกดู

ท้ายสุดเขาก็หยิบอำพันที่เต็มไปด้วยรอยแตกออกมา ย้อนนึกถึงท่าทางเจ้าอ้วนกำไว้แน่นก่อนจะตาย

‘แล้วของชิ้นนี้มันคืออะไรกัน…เหมือนว่าก่อนที่เจ้านั่นจะตาย ทำท่าจะบีบมันให้แตก’ สวี่ชิงสงสัย เขารู้สึกว่าตนเองขาดความรู้ที่เกี่ยวข้อง พอขบคิดจบก็เก็บมันลงไป

เมื่อจัดการเสร็จ เขาก็หลับสองตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ

หลายวันมานี้ สวี่ชิงพบว่าหลังจากที่ตนเองเขาสู่ระดับรวมปราณขั้นสอง เหมือนว่าจะไม่ได้ใช้เวลานอนมากเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว มักจะใช้เพียงแค่ประมาณหนึ่งชั่วยาม กำลังวังชาก็ฟื้นฟูกลับมาหมด

ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ เขาจึงจมอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ

และเพราะวันนี้เขาไม่ต้องออกไปข้างนอกเพื่อสอดส่อง จึงฝึกบำเพ็ญนานกว่าเดิมเสียหน่อย จนกระทั่งผ่านไปทั้งวัน ค่ำคืนเข้ามาเยือนอีกครั้ง สวี่ชิงก็เหมือนจะสัมผัสได้ ลืมตามองออกไปด้านนอกประตูเรือน

ขณะที่เขามองไป ตรงนั้นก็มีเสียงหัวหน้าเหลยส่งมา

“เด็กน้อย มาในเรือนหน่อย”

สวี่ชิงพอได้ยินก็ลุกขึ้นนั่ง เดินออกไปเงียบๆ มองเห็นหัวหน้าเหลยที่อยู่ในเรือน

ในเรือนวางโต๊ะตัวใหญ่ไว้ตัวหนึ่ง ด้านบนมีอาหารกับสุราเล็กน้อย เก้าอี้ทั้งหมดหกตัว ชามตะเกียบหกชุด หัวหน้าเหลยนั่งอยู่ในนั้น กวักมือมาทางสวี่ชิง

กวาดตามองโต๊ะกับชามและตะเกียบผาดหนึ่ง ในใจสวี่ชิงก็เดาได้ ก้าวเบาเข้าไปนั่งลงข้างๆ หัวหน้าเหลย

“หลายวันนี้คุ้นเคยกับฐานที่มั่นแล้วหรือยัง” หัวหน้าเหลยมองไปด้านนอกเรือน เอ่ยขึ้นกับสวี่ชิงด้วยท่าทีเป็นกันเอง

“ใกล้เคียงแล้ว” สวี่ชิงตอบกลับ สายตากวาดไปยังอาหารบนโต๊ะ

บางทีอาจจะเพราะการฝึกบำเพ็ญทั้งวัน หรือบางทีอาจจะเพราะกลิ่นอาหารช่างเย้ายวน เพียงไม่นานท้องของสวี่ชิงก็ส่งเสียงโครกครากออกมา

เมื่อหัวหน้าเหลยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็หัวเราะ

“ไม่ต้องรีบ รอพวกเขาก่อน”

“คนของกลุ่มสายอัสนีหรือ” สวี่ชิงก่อนหน้านี้เดาได้บางส่วนแล้ว จึงถามขึ้นมาคำหนึ่ง

ชายชราพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพูดก็เหมือนสัมผัสอะไรได้ มองออกไปด้านนอก ขณะเดียวกัน ในใจสวี่ชิงเองก็สัมผัสได้เช่นกัน กวาดตามองออกไป

นอกเรือน หัวถนนที่มืดมิด ปรากฏเงาชายร่างใหญ่คนหนึ่ง

ระดับความใหญ่โตล่ำสันของชายคนนี้มากกว่ากระทิงโฉดก่อนหน้าเสียอีก ร่างทั้งร่างราวกับเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ กล้ามเนื้อทั้งตัวปูดโปน มีพลังบีบคั้นคนอื่นได้ สะพายโล่เหล็กกล้าขนาดยักษ์มาด้วยใบหนึ่ง ในมือถือกระบองเขี้ยวหมาป่าที่สูงกว่าตัวสวี่ชิง เดินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา

ทุกก้าวที่ย่ำลงส่งเสียงปึงปังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงนอกประตูไม้ไผ่ เมื่อผลักประตูเปิด ร่างกายที่ใหญ่โตจนน่าตกตะลึงก็เหยียบย่ำเข้ามาในเรือน

การปรากฏตัวของเขา ทำให้ในเรือนเหมือนเล็กลงไปถนัดตา พลังที่ร่างอันใหญ่โตของเขานำมาก็ยิ่งแผ่ซ่านกว้าง จนสวี่ชิงรู้สึกเหมือนตอนเผชิญหน้ากับอสูรกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งในซากเมืองครั้งนั้น ม่านตาหดเล็กลงมา

“หัวหน้า ข้ากลับมาแล้ว”

ชายร่างใหญ่ฉีกยิ้มให้หัวหน้าเหลย ส่งเสียงทึมๆ ออกมา เมื่อสายตาตกไปบนอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ดวงตาก็เป็นประกาย หลังจากสาวเท้าเดินเข้ามาก็ปลดโล่ลงวางไว้ข้างๆ โยนกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือลงบนพื้น ส่งเสียงปึงปังดังลั่นออกมาสองครั้ง

บทที่ 11 รวมกลุ่ม 1

บทที่ 11 รวมกลุ่ม 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา