บทที่ 1087 คำสัญญาท่ามกลางพายุฝน
ท้องฟ้าแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นับตั้งแต่เสี้ยวขณะนี้เป็นต้นไป มีหมอกควันเพิ่มขึ้นมาชั้นหนึ่ง
นั่นคือกลิ่นอายแห่งชีวิตของมนุษย์ นั่นคือโลกของมนุษย์ของเผ่ามนุษย์
นั่นคือจิตกระบี่ของมหาจักรพรรดิครองกระบี่ที่อาบย้อมมัน
เพื่อช่วงชิงเวลาสามสิบปีให้แก่สรรพชีวิตแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
แน่นอน ก็มีเพียงสรรพชีวิตทั้งหลายเท่านั้น
เพราะสำหรับเทพเจ้าแล้ว นี่เป็นเพียงแค่สงครามระหว่างผู้บำเพ็ญเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับองค์ท่าน
เหตุที่เลือกแทรกแซงบางส่วนก็แค่เพราะไม่อยากให้ศรัทธาลดลงก็เท่านั้น
อย่างเทพทั้งสามแห่งเผ่านภาคิมหันต์ความจริงแล้วก็เป็นประเภทนี้
ผู้ที่เป็นแบบจักรพรรดินีเช่นนั้นอย่างแท้จริง นอกจากองค์ท่านก็ไม่มีใครแล้ว
อีกทั้งเทพเจ้าที่เลือกดูดซับพลังศรัทธาจากเผ่าพันธุ์ทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในบรรดาเทพเจ้าทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็มีเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น
เทพเจ้าส่วนใหญ่นั้นหลับใหลอยู่ในที่ของตน
ไม่ได้ลงมือ
สรุปแล้ว สงครามระหว่างผู้บำเพ็ญศึกนี้ล้วนเป็นการละเล่น
จะดำเนินไปเช่นไร เทพเจ้าไม่ได้สนใจ
ส่วนมหาจักรพรรดิครองกระบี่ ความจริงแล้วก็ไม่ได้สนใจว่าเทพเจ้าจะมองอย่างไร สิ่งที่เขาคิดและปรารถนาล้วนแสดงอยู่ในกระบี่นั้นไปหมดแล้ว
ตอนนี้ฟากฟ้าโปรยปรายฝนเลือดลงมายังโลก
นั่นคือฝนที่เซียนคิมหันต์แตกดับ
ท่ามกลางม่านฝน เงาร่างที่ยืนอยู่กลางฟ้าดินของมหาจักรพรรดิครองกระบี่หันมามองโลกมนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะ…แย้มยิ้ม
“ยึดติดความเป็นตาย ยากนักที่จะปล่อยวาง
เพียงปล่อยวางความคิดก็คือการเกิดใหม่”
รอยยิ้ม ชั่วนิรันดร์
กลิ่นอายความตายบนร่างของเขาท่วมจมทั่วทั้งร่าง ร่างเลือดเนื้อสลายหายไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง กลายเป็นร่างหินแกะสลัก
จิตฟ้า ดิน มนุษย์ทั้งสามจิตของเขาลอยออกมาจากทวาร
จิตมนุษย์กลับคืนสู่ความทรงจำของเผ่ามนุษย์ จิตดินกลับคืนสู่ขุนเขา ลำน้ำ และแผ่นดินของเผ่ามนุษย์ จิตฟ้าก็เช่นกัน ผสานรวมไปในพลังชะตา
ยังมีเจ็ดวิญญาณ
วิญญาณที่แปรเปลี่ยนมาจากจักรพรรดิมนุษย์ทั้งห้า ต่างก็กลับคืนสู่ร่างเดิม ฟื้นตื่นขึ้นมา
อดีตและปัจจุบันที่จักรพรรินีมอบให้ ภายใต้รอยยิ้มของมหาจักรพรรดิครองกระบี่ก็ได้มอบมันกลับคืนมาให้แล้ว
ซึ่งรวมถึงกระบี่จักรพรรดิเล่มนั้นในมือของเขาด้วย
เขาปล่อยมือ กระบี่จักรพรรดิวาดเป็นเส้นโค้งทางหนึ่ง ลอยมาอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง
ม่านฝนหนักยิ่งกว่าเดิม
สวี่ชิงและจักรพรรดินียืนอยู่ในม่านฝน มองภาพฉากนี้ ความโศกเศร้าในใจผุดขึ้นอยู่นานไม่สลายเลือนไป
จนกระทั่งมีสายลมพัดมาจากแดนไกล พัดผ่านขุนเขามากมาย ปะทะเข้ากับสายฝนโลหิต กลายเป็นเสียงสะท้อนที่ไม่เคยลืมเลือน ดังก้องกังวานอยู่ในจิตใจของพวกเขา
สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงถอนหายใจ
สวี่ชิงโค้งศีรษะ โค้งคารวะรูปสลักมหาจักรพรรดิที่อยู่กลางฟ้าดินสุดตัว
จักรพรรดินีเงียบนิ่ง โค้งคารวะอำลา
ฉากนี้ประดุจม้วนภาพวาดภาพหนึ่ง ประทับไปในใจของผู้บำเพ็ญทุกคนที่สัมผัสถึงสถานที่แห่งนี้ได้
……
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น
สงครามบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จากการพังทลายของแดรศักดิ์สิทธิ์ระดับดำแต่ละแดนๆ ก็ก้าวเข้าสู่บทสรุป
เซียนคิมหันต์เก่าแก่คนนั้นไม่อาจลงมาเยือนได้ และไม่ได้สั่งให้แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับพสุธาทั้งสี่ลงมาเยือนด้วยเช่นกัน
เพราะทำเช่นนี้ไม่มีความหมาย
ดังนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลือที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เหล่านั้นก็กลายเป็นกองทัพโดดเดี่ยวที่ถูกทอดทิ้ง เฉกเช่นบรรพบุรุษของพวกเขาที่เคยทอดทิ้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ไป
ภายใต้การปะทุของหมื่นเผ่า ทางเลือกที่จะสวามิภักดิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลืองเหล่านี้ต่างถูกลบล้างไปสิ้น
สิ่งที่รอคอยพวกเขามีเพียงความตายเท่านั้น
และการดิ้นรนก่อนตาย ก็เป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะยื้อไว้ได้นานเท่าใด สุดท้ายก็ไม่อาจยื้อได้ถึงสามสิบปี
สำหรับเผ่ามนุษย์…
ก็ผงาดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีในตอนนี้ หรือจะเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของมหาจักรพรรดิครองกระบี่ ล้วนทำให้เผ่ามนุษย์กลับมาเปล่งประกายเจิดจรัสในหมู่หมื่นเผ่าแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์อีกครั้ง กลายเป็นแสงสว่างในความมืดมิด
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้ฉากหลังเช่นนี้ ในวันนี้หลังหนึ่งเดือนให้หลังนั้น ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายไม่ขาดสาย ภายในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
ศาลเจ้าเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่ง ประตูใหญ่เปิดออก
มีเงาร่างสองร่างเดินออกมาจากในนั้น
หนึ่งคือสวี่ชิง
อีกหนึ่งคือเอ้อร์หนิว
ในดวงตาของสวี่ชิงแฝงไว้ด้วยความเลื่อนลอย
บนใบหน้าของเอ้อร์หนิวนั้นฉายหมอกคลุมเครือหนาทึบออกมา ในส่วนลึกของดวงตาแฝงไว้ด้วยความกังวล
ข้างหลังเขา ในศาลเจ้า มีเสียงถอนหายใจดังมา
“ข้าได้บอกทุกอยย่างกับพวกเจ้าไปแล้ว นับจากนี้ วังเซียนคิมหันต์ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จะปิดด่าน”
“วังเซียนคิมหันต์ล้วนทำการเตรียมการทุกอย่างก่อนที่เคราะห์แห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จะเกิดขึ้น จะเชิญผู้แข็งแกร่ง อัจฉริยะ ให้หลับใหลไปในพลังต้นกำเนิดเซียนไปกับเรา”
“ผู้แข็งแกร่งและอัจฉริยะเหล่านี้ก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งอารยธรรมของทุกเผ่า”
“รอเมื่อเคราะห์ภัยผ่านไป พวกเราก็จะฟื้นตื่นขึ้น หากโลกเปลี่ยนไป เช่นนั้นภารกิจของพวกเราก็คือสร้างอารยธรรมของผู้บำเพ็ญขึ้นมาใหม่ เคราะห์หายนะหลายครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้”
“คนอื่นๆ ได้ทยอยส่งไปแล้ว สวี่ชิง เอ้อร์หนิว พวกเจ้าจะเลือกเช่นไร ก็อยู่ที่พวกเจ้าแล้ว จงให้คำตอบแก่ข้าโดยเร็วที่สุด”
นั่นคือเสียงของเจ้าวังเซียนคิมหันต์
จากเสียงที่ดังมา ประตูของศาลเจ้าก็ค่อยๆ ปิดลง และศาลเจ้าท่ามกลางสายฝนก็รางเลือนไปช้าๆ อยู่ในสภาวะรางเลือน ในพริบตาที่หายไปโดยสมบูรณ์ก็คือช่วงเวลาแห่งการหลับใหล
เวลามีไม่มากแล้ว
สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวอยู่ภายใต้ม่านฝน ต่างเงียบนิ่ง
พวกเขาเมื่อครึ่งเดือนก่อน หลังจากที่สงครามทางทิศตะวันออกสิ้นสุดลงก็ได้รับคำสั่งเรียกตัวจากเจ้าวังเซียนคิมหันต์ให้มาพบที่นี่
ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ เจ้าวังเซียนคิมหันต์ได้มอบโอกาสวาสนาให้พวกเขา
กายเซียนของสวี่ชิงเสถียรมั่นคงยิ่งขึ้น กายเทพภายใต้การช่วยเหลือจากเจ้าวังเซียนคิมหันต์ก็กลับมารวมเข้ากับจิตรับรู้ของเขาอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง
ส่วนทางเอ้อร์หนิวทางนั้น วาสนาของเขาเน้นไปที่กระโหลกชาติที่สามและความทรงจำที่ได้รับมา
ภายใต้การชี้แนะด้วยวิธีที่เป็นปริศนาของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ เอ้อร์หนิวดูเหมือนจะระลึกถึงความทรงจำได้มากขึ้น
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้พวกเขาสับสนและอึมครึม
สาเหตุที่พวกเขามีสีหน้าเช่นนี้หลังจากออกจากวังเซียนคิมหันต์ เป็นเพราะคำบอกเล่าสุดท้ายจากเจ้าวังเซียนคิมหันต์ในช่วงไม่กี่วันสุดท้าย
“อาจารย์ของเจ้าจ่ายค่าตอบแทน เพื่อแลกกับการที่ข้าจะช่วยเจ้าหนึ่งครั้ง”
“แม้แต่การที่ข้าเรียกเจ้ามาในครั้งนี้ เพื่อช่วยเจ้าทำให้กายเซียนเสถียรมั่นคง ช่วยฟื้นฟูกายเทพให้เจ้า ทั้งหมดนี้ก็เพราะอาจารย์ของเจ้า อาจารย์ของเจ้า… ได้ทุ่มเทไปมากมายนัก”
“เฉินเอ้อร์หนิว เจ้าเองก็เช่นกัน”
“ที่มาของเจ้าลึกลับ อาจารย์ของเจ้าตอนนั้นก็มาวังเซียนคิมหันต์เช่นกัน หลังจากจ่ายค่าตอบแทนที่เพียงพอแล้ว ก็ไปสืบค้นประวัติศาสตร์ แต่ในบันทึกของวังเซียนคิมหันต์ มีเพียงบันทึกหลังจากชาติที่สามของเจ้าเท่านั้น”
“สำหรับชาติที่สองและหนึ่งของเจ้า วังเซียนคิมหันต์ไม่มีบันทึกใดๆ ทั้งสิ้น บางที อาจจะมีแค่เจ้าเท่านั้นที่รู้”
“ส่วนชาติที่สาม เรื่องที่พวกเรารู้ก็ไม่ได้มากมายนัก คล้ายว่ามีพลังหลุ่มหนึ่งลบเลือนมันไป อีกทั้งเนื้อหาในส่วนนี้ วังเซียนคิมหันต์เดิมไม่มีทางเปิดเผยให้ใครได้รู้ทั้งสิ้น”
“แต่อาจารย์ของเจ้า เพื่อเรื่องนี้แล้วได้จ่ายด้วยพลังรากฐานส่วนหนึ่งของตัวเอง อีกทั้งยังไม่เสียดายที่จะสังเวยอำนาจของตนเอง สุดท้ายในพลังต้นกำเนิดเซียน ก็ได้ชิงโอกาสครั้งนี้มาให้เจ้าได้”
“ให้เจ้าได้หลอมรวมกับประวัติศาสตร์ของวังเซียนคิมหันต์ เพื่อให้เจ้าได้นึกย้อนมากขึ้นว่าตัวเอง…เป็นใคร”
“พวกเจ้า มีอาจารย์ที่ดี”
……
ท่ามกลางม่านฝน สวี่ชิงเงยหน้า มองไปทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์…กำลังสั่งเสีย”
สวี่ชิงพึมพำ
เอ้อร์หนิวเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยอย่างเนิบนาบ
“กลับไปสักหน่อย ไปถามตาแก่ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา