เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 110

บทที่ 110 ราชรถสุริยัน

“ยักษ์ลากราชรถหรือขอรับ” สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นึกได้ว่าหลังจากที่ตัวเองกลับมาจากทะเลก่อนหน้านี้ ตอนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็เคยไปรายงานเรื่องนี้ที่โถงค้นคว้าท้องสมุทร

หลังจากนั้นเขาก็ออกจากสำนักไปที่ทุ่งสีชาด ตอนนี้กลับมาได้ไม่นานเท่าไร อีกฝ่ายเรียกหาด้วยเรื่องนี้เพื่อสอบถามก็ทั้งสมเหตุผล และไม่สมเหตุผล

ที่เหมาะสมคือเรื่องของเวลา ที่ไม่เหมาะสมคือเรียกตนไปพบเพื่อสอบถามด้วยตัวเอง

หากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นสวี่ชิงก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรื่องยักษ์ลากราชรถน่ากลัวว่าเกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญ ดังนั้นถึงทำให้ผู้อาวุโสเจ้าสนใจ

ตอนนี้ระหว่างครุ่นคิด สวี่ชิงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปฏิเสธและไม่มีทางปฏิเสธได้

ดังนั้นจึงพยักหน้าเงียบๆ เก็บเรือเวทของตนแล้วขึ้นฝั่ง ในขณะที่เงยหน้ามองผู้ดูแลหลี่ เขาก็เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า

“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าให้ผู้อาวุโสรอนานเกินไปจะดีกว่า และข้าเองก็ขึ้นมาจากล่างเขาเช่นกัน ข้าไม่เชื่อว่าพลังบำเพ็ญระดับเจ้าจะไม่เตรียมยันต์บินทะยานเอาไว้บ้างเลย

“เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะให้ข้าลากเจ้า หรือเจ้าจะไปเอง ” ผู้ดูแลหลี่จ้องสวี่ชิง

สวี่ชิงพยักหน้า หยิบเอายันต์บินทะยานออกมาติดที่ขา เพียงก้าวก็ไปปรากฏอยู่บนท้องฟ้าทันที

ผู้ดูแลหลี่ยิ้ม ร่างเพียงกะพริบวูบก็แปลงเป็นสายรุ้งยาว มุ่งตรงไปยังยอดเขาที่เจ็ดทันที

สวี่ชิงตามอยู่ข้างหลัง ตามไปตลอดทาง

ทั้งสองก็ใกล้ยอดเขาที่เจ็ดไปเรื่อยๆ ระหว่างที่บิน สวี่ชิงก็ทอดถอนใจตามระยะที่เข้าใกล้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เขามาที่นี่

ครั้งแรกคือครั้งฝากตัวเข้าสำนักในตอนแรกตอนนั้น

เขายังจำประโยคที่ผู้บำเพ็ญหน้ากลมคนนั้นเตือนได้

นี่อาจจะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวของพวกเจ้าที่ได้ขึ้นเขา

ตอนนี้หากคิดๆ ดูแล้ว ประโยคนั้นถูกต้อง ในเมื่อไม่ใช่ทุกคนที่หวังว่าจะมีพลังระดับสร้างฐาน ต่อให้เป็นเขาก็ยังต้องขบคิดเรื่องจะเอาทรัพยากรที่จะใช้ในระดับสร้างฐานมาได้อย่างไรเหมือนกัน

ในขณะที่ขบคิด ความระมัดระวังของสวี่ชิงก็ยังสูงมากเช่นเดิม เขาไม่สามารถเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น

ยอดเขาที่เจ็ดเริ่มชัดขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชิงเรื่อยๆ เช่นนี้เอง ทั้งเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียว สามารถมองถนนคดเคี้ยวที่ล่างเขาทอดตัวไปสู่ยอดเขาได้

ถนนภูเขาเส้นนี้แบ่งเป็นทางแยกแต่ละทางจากเขตต่างๆ เชื่อมต่อกันด้วยสิ่งก่อสร้างที่ราวกับวังแต่ละแห่ง ในขณะเดียวกัน หลายๆ ที่ในภูเขาแห่งนี้ก็มีลานกว้างและถ้ำอยู่ด้วย

ทั้งสองคนบินเข้าไปในภูเขา บินผ่านตำหนักแต่ละแห่ง และผ่านจุดที่สวี่ชิงได้รับชุดนักพรตและเรือเวทในตอนนั้น สุดท้ายก็เข้าใกล้เขตยอดเขา ตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าแห่งหนึ่งสะท้อนในดวงตาสวี่ชิง

ตำหนักแห่งนี้โออ่ากว่าตำหนักอื่นที่ได้เห็นระหว่างทางก่อนนี้ สร้างด้วยกระเบื้องวิญญาณสีขาวทั้งตำหนัก ในขณะที่งดงามหรูหรา ในทุกๆ มุมจะมีรูปสลักสัตว์อสูรโผล่ออกมา เหมือนจะบินสู่ท้องฟ้า

หน้าตำหนักมีรูปสลักหินมนุษย์สองตัว ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนยักษ์ แผ่พลังกดดันออกมาเป็นระลอกๆ

และประตูตำหนักก็ไม่ได้ปิด แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับมองข้างในไม่ชัดเลย เลือนรางไปหมด

ผู้ดูแลหลี่ลอยต่ำลง สวี่ชิงก็ลอยต่ำตามมา

ความอันตรายรุนแรงลอยเอ่อในตัวเขา ณ ขณะนี้ ระลอกคลื่นค่ายกลไร้รูปร่างที่มาจากรอบๆ เหมือนสามารถสับเขาได้เป็นชิ้นๆ ในพริบตา และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นมาจากตำหนักเบื้องหน้านี้

ในตำหนักนี้เหมือนมีสัตว์ดุร้ายน่ากลัวตนหนึ่งขดตัวอยู่ กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลายเป็นลมพายุที่สั่นคลอนจิตวิญญาณ ในขณะเดียวกับที่แผ่ระลอกคลื่นไปทั่วสารทิศ ผู้ดูแลหลี่ก็ก้มหน้าเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่งตรงนั้น

“ผู้อาวุโส นำตัวสวี่ชิงมาแล้วขอรับ”

“เข้ามาเถอะ” เสียงแหบแห้งแก่ชราดังออกมาจากในตำหนัก

ในยามที่ดังเข้ามาในหูสวี่ชิงเหมือนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสายฟ้าฟาด ทำให้สวี่ชิงลมหายใจถี่กระชั้น เหมือนมีพลังกดดันมหาศาลกดทับลงมา สยบจิตใจของเขา

เขาฝืนยืนนิ่ง หลังจากที่ก้มหน้าคารวะแล้ว ก็ยกเท้าขึ้นก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบากทีละก้าวๆ

ทุกฝีก้าวที่ย่ำลงล้วนทำให้หน้าผากของเขาชื้นเหงื่อ พลังกดดันน่ากลัวที่มาจากในตำหนัก ทำให้เมื่อเขายิ่งเข้าใกล้ จิตใจก็ยิ่งส่งเสียงดังโครมคราม การสั่นสะท้านที่มาจากเลือดเนื้อทั้งร่างทำให้สวี่ชิงย่างก้าวอย่างยากลำบาก

แต่ว่าเหมือนสิ่งมีชีวิตในตำหนักจะไม่ได้ตั้งตนเป็นปรปักษ์ที่ชัดเจนเกินไป พลังกดดันนี้เหมือนปล่อยออกมาตามสัญชาตญาณ ดังนั้นแม้สวี่ชิงจะยากลำบาก แต่ก็ยังสามารถฝืนทนก้าวเดินเข้าไปทีละก้าวๆ ด้วยพลังบำเพ็ญฝึกกายาและพลังบำเพ็ญของตัวเอง

ในเสี้ยวพริบตาที่เหยียบย่างเข้ามาในประตูตำหนัก ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไม่ก่อนหน้านี้ที่อยู่ข้างนอก สิ่งที่เห็นในนี้จึงรางเลือนไปหมด เพราะว่า…ทุกอย่างในตำหนักล้วนบิดเบี้ยว

จะเป็นเก้าอี้ก็ดี หรือจะเป็นเสาหินก็ดี แม้แต่กำแพงที่อยู่รอบๆ ในสายตาสวี่ชิงตอนนี้ก็ล้วนแต่สั่นไหว บิดเบี้ยวไม่หยุด และจุดกำเนิดที่ทำให้เกิดทุกอย่างนี้คือเงาร่างของชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างบนสุดที่อยู่ข้างหน้า

มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นแค่เพียงชุดนักพรตสีม่วงและผมขาวเท่านั้น

และคนคนนี้ก็คือจุดกำเนิดของการบิดเบี้ยว พลังไร้รูปร่างที่เหมือนจะแผ่ออกมาจากในตัวเขาทำให้พื้นที่ที่ถูกปกคลุมไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนจริงๆ

“คารวะผู้อาวุโส” สวี่ชิงสะกดความวิงเวียนในหัวที่เกิดจากการบิดเบี้ยวของที่แห่งนี้ ก้มหน้า ประสานหมัด โค้งคารวะ

“เล่าเรื่องราชรถจินอูที่เจ้าได้เห็นมาให้ละเอียดหน่อย” เสียงเก่าแก่โบราณดังเนิบนาบมา จมลึกไปในหัวใจสวี่ชิง แปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะท้อนซ้ำ ดังก้องไม่หยุด

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เรื่องนี้ไม่มีอะไรปิดบังได้ เดิมทีก็เป็นการประสบพบเจอครั้งหนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงเลือกที่จะรายงานขึ้นมา หลังจากที่ผู้อาวุโสพูด เขาก็เล่าลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดออกมา

ระหว่างนั้น ผู้อาวุโสเจ้าที่นั่งอยู่ข้างบนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ฟังเงียบๆ เท่านั้น

จวบจนสวี่ชิงพูดจบ ในตำหนักก็เงียบกริบ

สวี่ชิงกดดันมาก แบกรับเงียบๆ

บทที่ 110 ราชรถสุริยัน 1

บทที่ 110 ราชรถสุริยัน 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา