เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 112

บทที่ 112 โทษล้างเผ่าพันธุ์

สวี่ชิงลืมตาโพลงฉับพลัน

เขาลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ จัดเสื้อผ้าเล็กน้อย เดินออกจากห้องเรือ

ท้องฟ้ามืดครึ้ม

ตะวันรุ่งแม้จะเพิ่งขึ้น แต่แสงอรุณก็เหมือนสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต จึงสาดพาดชุดคลุมรบสีเทา ทำให้หลังจากแสงสาดลอดชั้นเมฆลงมาที่เดิมทีควรจะอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นความมืดครึ้ม

สีท้องฟ้าที่กลายเป็นเมฆดำรางๆ ร่างหลายร่างล้วนพุ่งออกมาจากจุดที่แตกต่างกันในท่าเรือเมืองเจ็ดเนตรโลหิต มุ่งหน้าไปตามถนนของท่าเรือสู่แท่นบูชาใจกลางเมือง

ร่างเงาแต่ละร่างล้วนซ่อนจิตสังหาร ความเย็นเยียบบนตัวที่เล็ดลอดออกมาราวกับเป็นดาบแหลมคม ยิ่งไปกว่านั้นพลังบำเพ็ญก็ไม่ธรรมดา ในบรรดาคนเหล่านี้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นรวมปราณขั้นหก

ขั้นแปดขั้นเก้ารวมไปถึงคนที่สูงกว่านี้ ก็มีอยู่ไม่น้อย

ถึงอย่างไรศิษย์ที่ฝ่าฟันสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเช่นการเลี้ยงกู่ด้านล่างภูเขาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตออกมาได้ ไม่ว่าจะคนใดก็ล้วนมีวิธีการเอาตัวรอดของตนเอง ต่อให้มีความดีแต่เดิมก็ยังถูกสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน และสิ่งที่ต้องจ่ายหากไม่ยอมเปลี่ยนแปลง นั่นคือความตาย

ดังนั้นกลิ่นอายสังหารที่ยากจะสะกดลงได้จึงแผ่ซ่านไปทุกทิศทางจากการที่พวกเขามุ่งหน้ามา กลายเป็นแรงกดดัน ปกคลุมเมืองทั้งเมือง จนทำให้ประชาชนแถวท่าเรือไม่ยอมออกมาจากบ้านกัน

ต่อให้มีคนที่จะออกไปด้านนอก ก็ยังต้องฉีกตัวหลบออกสองฟากของถนน หลีกทางให้กับศิษย์ที่กำลังพุ่งตัวด้วยความเร็วทันที

มองไกลๆ เสียงแห่งพลานุภาพที่สะท้อนก้องในจิตใจผู้คนราวกับราชาหมาป่าคำรามกู่ร้องอย่างยาวนาน ทำให้หมาป่าดุร้ายนับไม่ถ้วนตื่นตัวและกระหายเลือดมารวมตัวกัน

ร่างของสวี่ชิงกระโจนจากเรือเวท โบกมือโดยไม่หันหน้าไปมอง ทันใดนั้นเรือเวทก็เปล่งแสงทึบทึมย่อหดเล็กลงกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้ามายังขวดเวทในถุงเก็บของของสวี่ชิง

ขาขวาของเขายกขึ้นก้าวหนึ่งคือไกลถึงสามจั้ง พอเหยียบลงก็ยกก้าวอีกครั้ง ออกจากท่าเรืออย่างรวดเร็ว

แม้ไม่ได้บินทะยาน แต่การเดินบนพื้นก็ยังน่าตกตะลึง เหยียบย่างไปตามถนน และเร็วขึ้นเรื่อยๆ

เสียงหวีดหวิวแว่วเข้ามาข้างหูเขา นั่นคือศิษย์ที่ใช้ยันต์บินทะยานเดินทางบินกลางอากาศ รอบตัวเขายังมีศิษย์อีกมากมายที่ออกวิ่ง ตอนผ่านกรมปราบพิฆาต สวี่ชิงก็ยังเห็นนายกองด้วย

นายยิ้มให้กับเขา โยนผิงกั่วผลหนึ่งมาให้ ประชิดตัวด้านหลังเอ่ยเสียงต่ำ

“ไม่ต้องหน้าตึงถึงเพียงนั้น ไม่ว่าจุดหมายจะเป็นเผ่าใด เป้าหมายของพวกเราคือหาเงินทอง เรื่องใหญ่จริงๆ ก็ให้พวกคนบนเขาเป็นคนตัดสินใจ” นายกองขยิบตาให้สวี่ชิง

สวี่ชิงพยักหน้า วิ่งตะบึงไปพร้อมกับนายกองราวกับบินทะยาน

สี่ห้าพันคนที่เข้าร่วมการแข่งขันยอดเขาลำดับเจ็ดครั้งนี้ ก็ทยอยเข้ามาที่แท่นบูชาใจกลางเมืองอย่างรวดเร็วเช่นนี้

ไกลออกไป สวี่ชิงมองเห็นว่าที่แท่นบูชานั้นมีค่ายกลทรงกลมขนาดใหญ่วงหนึ่ง

ค่ายกลนี้ประกอบขึ้นจากอักขระใหญ่เล็กนับไม่ถ้วน ทุกอักขระล้วนเปล่งแสงสีม่วง ทำให้แสงค่ายกลเจิดจ้าแยงตา ราวกับว่าจะเชื่อมต่อเข้ากับท้องฟ้า

ความสูงของมันนับร้อยจั้ง ราวกับมีจานขนาดยักษ์ตั้งตรงอยู่ตรงนั้น

เมื่อมองอย่างละเอียด ก็จะเห็นอักขระมากมายด้านในเรียงเป็นวงหลายชั้น แต่ละวงหมุนวนต่างกัน กลิ่นอายสั่นฟ้าสะเทือนดินแผ่ซ่านออกมารางๆ จากด้านใน

กลิ่นอายนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นตามการเข้าใกล้ ม่านตาสวี่ชิงหดลง สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของกลิ่นอายนั้น ก็ลดความเร็วช้าลงด้วย

จนกระทั่งมาถึงแท่นบูชาใจกลางเมือง ที่นี่ก็มีคนอยู่สองพันกว่าคนแล้ว

และคนที่มาทั้งหมดก็ลดความเร็วลงหลังจากเข้ามาใกล้ ยืนรออยู่รอบๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเว้นระยะห่างกันโดยสัญชาตญาณ มีเพียงจิตสังหารที่ทำให้กลิ่นอายของคนทั้งหมดเชื่อมโยงกัน จนทำให้ท้องฟ้าเวลานี้เมฆดำหนาแน่นยิ่งขึ้น

ยังมีเงาเลืองลางที่น่าตกตะลึงราวกับมังกรยักษ์อีกเงาหนึ่ง เดินท่องอยู่ในชั้นเมฆจนเกิดแสงอัสนีหลายสายกลางอากาศ และมีเสียงอัสนีค่อยๆ ดังขึ้นครืนครันตามมา

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ขณะที่รออย่างสงบเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดที่สามารถมาที่นี่ได้ก็มากันหมดแล้วเวลานี้

มีเพียงสายตาที่เย็นชาหลายสาย จับจ้องไปยังค่ายกลขนาดยักษ์นั่น

ตอนนี้เอง ค่ายกลที่หมุนวนไม่หยุดนี้จู่ๆ ก็ส่งเสียงครืนครัน

แสงสีม่วงขณะที่แผ่ขึ้นกลางอากาศลอยแยกออกมาจากด้านใน เสียงปึงดังขึ้นที่ปลายลำแสง ด้านในปรากฏเงาร่างหนึ่งออกมา

พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานแผ่ออกมาจากร่างนี้

ยังไม่จบ เพียงไม่นานลำแสงที่ออกมาจากค่ายกลก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนมากถึงนับร้อยสาย

และในทุกปลายลำแสง ก็จะปรากฏร่างผู้บำเพ็ญออกมา ล้วนเป็นระดับสร้างฐานทั้งสิ้น

การมาเยือนของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานนับร้อยคน ทำให้กลิ่นอายรอบๆ ยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีก ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างทั้งหมดล้วนจิตใจสั่นสะเทือน

สวี่ชิงเองก็เช่นกัน ขณะที่จิตใจสั่นสะเทือน ค่ายกลก็มีแสงสีม่วงที่ขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้าอย่างชัดเจนอีกสิบสามสายลอยออกมา ราวกับมังกรยาวสิบสามตัวพุ่งทะยานตรงไปบนท้องฟ้า

พลังที่ยิ่งใหญ่นั่น ลำแสงสีม่วงขนาดยักษ์สิบสามเส้น ก็ปรากฏร่างเงาราวกับเทพเจ้าออกมาอีกสิบสามคน

พวกเขามีทั้งชายและหญิง และใบหน้าทุกคนล้วนเลือนราง ยากที่จะมองออก

และการปรากฏตัวของพวกเขาทำให้ฟ้าดินรอบด้านส่งเสียงครืนครันขึ้นมา สวี่ชิงหอบหายใจถี่ แม้เขาจะมองใบหน้าคนเหล่านี้ไม่ออก แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้อาวุโสเจ้าจากเงาร่างที่สาม

บทที่ 112 โทษล้างเผ่าพันธุ์ 1

บทที่ 112 โทษล้างเผ่าพันธุ์ 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา