บทที่ 113 เกาะจวีอิง
เมื่อไข่มุกร่วงหล่น ก็เหมือนจะก่อเกิดกระแสน้ำขึ้นน้ำลง มหาสมุทรผันผวนฉับพลัน คลื่นทะเลรอบด้านก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ ราวกับยักษ์ใต้ท้องทะเลยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นฟาดไปยังเกาะทั้งสี่ของเผ่าเงือกอย่างรุนแรง
แต่ตอนนี้เอง ม่านแสงขนาดยักษ์จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นฉับพลันบนเกาะทั้งสี่ของเผ่าเงือก
ม่านแสงนี้คือค่ายกลใหญ่คุ้มกันเผ่าของเผ่าเงือก พลานุภาพน่าตกตะลึง เวลานี้เปิดใช้งานอย่างสุดกำลัง ทำให้ไข่มุกสีดำที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้าความเร็วลดลง แต่ความแข็งแกร่งของพลานุภาพมันก็ทำให้ค่ายกลคุ้มกันเกิดคลื่นรุนแรงขึ้น
คลื่นยักษ์รอบๆ พัดกระแทกเกราะคุ้มกันที่สกัดไว้ ส่งเสียงครืนครันดังก้อง และมีเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นเสียงหนึ่ง ดังลอดมาจากเกาะอีเหม่ยฉีหนึ่งในเกาะทั้งสี่อีกด้วย
“สำนักเจ็ดเนตรโลหิต เจ้าคิดจะทำอะไร!”
เสียงคำรามเขย่าท้องฟ้า และมีใบหน้าขนาดยักษ์ใบหนึ่งปรากฏตามเสียงออกมา
ภาพมายาใบหน้านี้ลอยขึ้นมาจากเกาะ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เทียบได้กับเกาะทั้งเกาะ
นั่นเป็นใบหน้าของชายชรามีแก้มคนหนึ่ง เวลานี้ดวงตามีความตกตะลึง จ้องมองไปยังร่างเหนือกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลบนท้องฟ้าอย่างโกรธเคือง
แต่พริบตาที่เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังออกมาก จู่ๆ…
ด้านบนเกาะเผ่าเงือกทั้งสี่เวลานี้มีสิ่งปลูกสร้างแก่นค่ายกลที่เชื่อมกับค่ายกลคุ้มกันจำนวนมากระเบิดจากด้านใน ถล่มลงมาฉับพลัน ค่ายกลใหญ่คุ้มกันเผ่าเงือกก็แปรเปลี่ยนไปในพริบตานี้!
แก่นค่ายกลมากกว่าสี่สิบแห่ง เหมือนถูกคนแอบวางกลไกเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อกระตุ้นก็พังทลายทันที!
นอกเหนือจากนี้ บนเกาะทั้งสี่แต่ละที่ล้วนมีคลื่นแข็งแกร่งวูบหนึ่งส่งเสียงครืนครันมาจากด้านในเวลานี้
เจ็ดเนตรโลหิตคิดจะล้างบางเผ่าเงือก เตรียมการ แทรกซึมกับทำความเข้าใจทุกด้านไว้นานแล้ว ตอนนี้ที่กล้าเข้ามา เป็นเพราะมั่นใจอย่างถ่องแท้
ไข่มุกสีดำกลางอากาศเปล่งแสงดำเจิดจ้าฉับพลันขณะที่สีหน้าผู้อาวุโสเผ่าเงือกเปลี่ยนไป แสงอัสนีสีม่วงนับไม่ถ้วนแสงนี้สว่างขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุดก็กลายเป็นฝ่ามือขนาดยักษ์ที่สามารถปิดฟ้าบังตะวัน ฟาดฝ่ามือลงไปยังใบหน้าที่เกาะด้านล่างรวมไปถึงค่ายกลใหญ่ที่คุ้มกันนั่นด้วย
เสียงระเบิดดังสนั่นกระจายออกไปทั้งแปดทิศจนหูแทบดับ สิ่งแรกที่ทานรับไม่ไหวคือค่ายกลใหญ่ของเผ่าเงือกเว้าเป็นรูอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็พังทลายลง เกิดเป็นรูรูปฝ่ามือขนาดยักษ์ข้างหนึ่งขึ้น
แสงม่วงนับไม่ถ้วนไหลไปตามรอยแยกของค่ายกลใหญ่คุ้มกันฉับพลัน ทุกที่ที่แล่นผ่าน ค่ายกลพังทลายอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ทั้งหมดเพียงแค่สิบกว่าอึดใจเท่านั้น ค่ายกลใหญ่คุ้มกันเผ่าเงือกก็พังทลายลงแบบเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ผลจากการแว้งกัด ทำให้พื้นที่มากมายบนเกาะทั้งสี่ระเบิดปะทุ วุ่นวายใหญ่โต
หลังจากที่ฝ่ามือนั้นทลายค่ายกล ก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตบสะกดใบหน้ามายาของผู้อาวุโสเผ่าเงือกลงไปส่งเสียงครืนครันกับพื้น
เกาะนี้คือเกาะอีเหม่ยฉี
เวลานี้บนเกาะส่งเสียงครืนครัน รอยฝ่ามือขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นกลางเกาะ มองเห็นจากบนฟ้าได้อย่างชัดเจน
รอบๆ รอยฝ่ามือล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างกับเศษเลือดเนื้อที่แตกสลายเละเทะ มีเพียงตำแหน่งใจกลางฝ่ามือนี้ ที่นั่นมีหอแห่งหนึ่งที่ไม่ถูกทำลายลงทั้งหมด แต่ก็ปรากฏรอยร้าวขนาดใหญ่เช่นกัน
หอนี้เป็นเหมือนกับศาลเจ้า สร้างขึ้นจากกระดูกสีขาว ดูแล้วกว้างใหญ่ แต่ก็มืดมนอึมครึมอย่างมาก เผยความโศกเศร้าและความโกรธแค้นออกมา
เพราะสิ่งที่สร้างหอนี้ขึ้นคือกระดูกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งกว่านั้นล้วนเป็นของเผ่ามนุษย์ทั้งสิ้น!
มองจากพลังวิญญาณที่ยังคงค้างอยู่ในกระดูก ตอนที่มีชีวิตกระดูกสีขาวเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์จากสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
เวลานี้ ผู้อาวุโสเผ่าเงือกที่ปล่อยภาพมายาเมื่อสักครู่ ก็ลอยออกมาจากในหอนี้อย่างรวดเร็ว ระหว่างทางก็กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง สีหน้าดูไม่ได้ถึงขีดสุด เงยหน้ามองบนฟ้า ร่างกายไหววูบพุ่งออกไปเร็วรี่ คิดจะเอาคืน
บนท้องฟ้า ร่างที่ยืนอยู่ด้านในตำหนักบนตัวกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาล สายตาจ้องอยู่ที่หอบนเกาะอีเหม่ยฉี เสียงเย็นชา ดังก้องสะท้อนทั้งฟ้าดิน
“เผ่าเงือก!
“หลายปีนี้ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแห่งข้าดีกับเผ่าของเจ้ามาก
“หลังจากเผ่าเจ้ากลายเป็นพันธมิตรกับสำนักข้า สำนักข้าก็คอยสนับสนุนทรัพยากรมหาศาลให้หลายครั้ง ยี่สิบสามปีก่อนตอนที่เผ่าของเจ้าเผชิญหน้ากับหายนะไอพลังประหลาด สำนักข้าก็เข้าช่วยเหลือ มอบทรัพยากรให้นับไม่ถ้วน มูลค่าหินวิญญาณมากกว่าร้อยล้านก้อน
“สิบหกปีก่อน เผ่าของเจ้าถูกเผ่าวิญญาณแห้งเหือดโจมตี เสี่ยงสูญสิ้นทั้งเผ่าพันธุ์ ไม่มีเผ่าใดมาช่วยเหลือ มีเพียงข้าที่นำศิษย์มาด้วยตนเอง ศิษย์ของข้าเสียสละไปมากมายเพื่อคลายวิกฤตของเผ่าเจ้า เผ่าของเจ้านับไม่ถ้วนตอนนั้นเอ่ยปากร้องขอให้ฝังกระดูกของศิษย์เผ่าข้าที่เสียสละไว้ที่นี่ เพื่อยืนยันความเป็นพันธมิตร
“เดิมทีพวกเจ้าควรเคารพศรัทธาเหล่าศิษย์ที่เสียสละนี้ แต่เพื่อจะเอาใจเผ่าสิงซากสมุทร เผ่าของเจ้ากลับขุดกระดูกของพวกเขาขึ้นมาสร้างหอ ในฐานะสิ่งสวามิภักดิ์
“เนรคุณเช่นนี้ ตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง หากวันนี้ไม่ทำลายล้างเผ่าของเจ้า ฟ้าดินคงไม่สงบ” ขณะพูด ร่างเงานี้ก็เดินออกมายืนอยู่กลางอากาศ เป็นนายท่านเจ็ดเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดนั่นเอง
เขาสวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัว สายตาเหมือนแฝงไว้ด้วยสายอัสนี ทั่วทั้งร่างแม้ไม่ได้โกรธเคืองแต่ทรงด้วยพลานุภาพ พลังไม่ธรรมดา ทุกคำพูดดังก้องไปทั่วท้องฟ้า แต่ละคำไพเราะหมดจด ฟาดฝ่ามือลงไปอีกครั้งที่บรรพจารย์เผ่าเงือกที่พุ่งตัวออกมาจากเกาะอีเหม่ยฉี จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อ นิ้วหนึ่งในมือซ้ายกดลงไปกลางอากาศทางด้านซ้าย
บรรพจารย์เผ่าเงือกด้านล่างถูกสะกดไว้ขณะส่งเสียงครืนครัน หยดน้ำนับไม่ถ้วนรอบด้านห่อหุ้มตัวเขา จากนั้นกลายเป็นก้อนน้ำขนาดยักษ์หยดหนึ่ง
บรรพจารย์เผ่าเงือกที่อยู่ด้านในคิดจะดิ้นรน แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เวลานี้สีหน้าบิดเบี้ยวคำรามต่ำ
“เจิ้งข่ายอี้ เจ้าอย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย ขุดออกมาแล้วอย่างไร ตอนนี้เผ่าสิงซากสมุทรคุ้มครองเผ่าเงือกอยู่ เจ้ารุกรานเช่นนี้ กองทัพใหญ่เผ่าสิงซากสมุทรต้องเข้ามายับยั้งแน่ ตอนนี้คงอยู่ระหว่างทางแล้ว!”
“ข้ารออยู่”
นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงเรียบ มองไปที่ความว่างเปล่าที่นิ้วจรดลง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา